
จากกระแสในสังคมเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรไทยทดแทนยาแผนตะวันตก กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “ไม่ใช่นโยบายบังคับ” แต่เป็นแนวทางเปิดกว้างให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งสามารถเลือกดำเนินการตามความเหมาะสมและความสมัครใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข และส่งเสริมภูมิปัญญาไทยที่มีงานวิจัยรองรับแล้ว
นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่า มูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐรวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยาสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21% จากข้อมูลดังกล่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ ภายใต้นโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้แพทย์และเภสัชกรจ่ายยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย เป็นยาสมุนไพร 32 รายการ ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรที่ใช้บ่อย มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมมือกับกรมการแพทย์ จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรใน 10 กลุ่มโรคข้างต้น (CPG) เพื่อใช้ยาสมุนไพรอย่างถูกต้องและปลอดภัย
สรุปข่าว
จากกระแสในสังคมเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรไทยทดแทนยาแผนตะวันตก กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “ไม่ใช่นโยบายบังคับ” แต่เป็นแนวทางเปิดกว้างให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งสามารถเลือกดำเนินการตามความเหมาะสมและความสมัครใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข และส่งเสริมภูมิปัญญาไทยที่มีงานวิจัยรองรับแล้ว
นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่า มูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐรวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยาสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21% จากข้อมูลดังกล่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ ภายใต้นโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้แพทย์และเภสัชกรจ่ายยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย เป็นยาสมุนไพร 32 รายการ ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรที่ใช้บ่อย มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมมือกับกรมการแพทย์ จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรใน 10 กลุ่มโรคข้างต้น (CPG) เพื่อใช้ยาสมุนไพรอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน เป็นการดำเนินการตามความสมัครใจของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ไม่ใช่นโยบายบังคับแต่อย่างใด โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกยาสมุนไพรอย่างรอบคอบผ่านคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ของแต่ละโรงพยาบาล สำหรับยาสมุนไพรที่นำมาใช้ทดแทน ได้แก่ ยาครีมไพล ใช้แทนยานวด กลุ่ม Analgesic balm สำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ยาแก้ไอมะขามป้อม หรือ ยาประสะมะแว้ง ใช้ทดแทนยาแก้ไอ M.tussis เพื่อบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และยามะขามแขก ใช้ทดแทนยาระบายบิซาโคดิล (Bisacodyl) สำหรับอาการท้องผูก แต่ยังมียาแผนปัจจุบันตัวอื่น สามารถเลือกใช้แทนยาแผนปัจจุบันที่ถูกคัดออกจากโรงพยาบาลได้ เช่น ยา diclofenac gel ในกลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ยา Ambroxol หรือ Bromhexine ในกลุ่มยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ยา lactulose หรือ Milk of Magnesia ในกลุ่มยาระบาย ซึ่งไม่กระทบต่อการรักษาผู้ป่วย ของแพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่ประสงค์ใช้ยาสมุนไพร
นอกจากนี้ มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างแพทย์ปัจจุบันและแพทย์แผนไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินการศึกษา วิจัย ร่วมกับ กรมการแพทย์ และราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยเพื่อคัดเลือกยาสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษาให้กับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาการโรคเพิ่มเติมจาก 10 กลุ่มอาการเดิม ในการสร้างข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้ยาสมุนไพร
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ย้ำ ยาสมุนไพรไทยทดแทนยาแผนตะวันตกไม่ใช่นโยบายบังคับ เป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ล่าสุด ยาสมุนไพรจำนวนมากได้รับการวิจัยและรับรองมีประสิทธิภาพ และนิยมใช้ เช่น ยาแก้ไอประสะมะแว้ง, ยาไพล, ยามะขามแขก พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ รพ.ที่เพิ่มอัตราการใช้ยาสมุนไพร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ปัจจุบันมีสมุนไพรไทยจำนวนมากที่ได้รับการวิจัยและรับรองว่ามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เช่น ยาแก้ไอประสะมะแว้ง สำหรับอาการไอและขับเสมหะ, ยาไพล ใช้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ และลดการอักเสบ, รวมถึง ยามะขามแขก ที่ช่วยระบายในผู้ที่มีอาการท้องผูก ซึ่งยาสมุนไพรเหล่านี้ล้วนถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและมีการใช้อย่างแพร่หลายในสถานพยาบาลทั่วประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังมีแนวทางสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลที่สามารถเพิ่มอัตราการใช้ยาสมุนไพรได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม หรือมอบรางวัลพิเศษ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่องภายใต้หลักเกณฑ์ความปลอดภัยและความพึงพอใจของประชาชน
“แนวทางนี้ไม่ใช่การเลิกใช้ยาแผนตะวันตก แต่เป็นการเพิ่มทางเลือกในการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย โดยให้แพทย์ใช้ดุลยพินิจอย่างเต็มที่ และเคารพสิทธิของประชาชนในการเลือก วิธีการรักษา” นายแพทย์สมฤกษ์ กล่าวย้ำ
ที่มาข้อมูล : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ที่มารูปภาพ : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก / Canva