วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี! หมอยง ไขข้อสงสัยในผู้ที่เกิดก่อนปี 2535

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี! หมอยง ไขข้อสงสัยในผู้ที่เกิดก่อนปี 2535

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yong Poovorawan เกี่ยวกับ ไวรัสตับอักเสบบี ในผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ 2535  กับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในการป้องกัน

สรุปข่าว

หมอยง ไขข้อสงสัย "วัคซีนไวรัสตับอักเสบ" ในผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ 2535 ชี้การที่จะฉีดวัคซีนในการป้องกันเป็นสิ่งที่ดี และให้ดียิ่งขึ้นควรจะได้มีการตรวจเลือดทุกคน ดังนั้นผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 ควรจะได้มีการตรวจกรองเลือดก่อนที่จะพิจารณาให้วัคซีน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Yong Poovorawan เกี่ยวกับ ไวรัสตับอักเสบบี ในผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ 2535  กับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในการป้องกัน

โดยระบุว่า ในสมัยก่อนไวรัสตับอักเสบบี เป็นปัญหาสำคัญของประชากรไทย มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูงมาก ประเทศไทยรณรงค์การให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิด โดยเริ่ม 2 จังหวัดคือชลบุรีและเชียงใหม่ ในปีพ.ศ 2531  ต่อมาอีก 2 ปี  2533  ได้เพิ่มอีก 10 จังหวัดเป็น 12 จังหวัด 

และในเดือนเมษายน พ.ศ 2535  ได้มีการให้วัคซีนกับทารกแรกเกิดทุกคน อย่างน้อย 3 ครั้งในครัวปีแรก ทำให้ไวรัสตับอักเสบบีในผู้ที่เกิดหลังปีพ.ศ 2535  น้อยลงอย่างมาก เพราะได้รับวัคซีนป้องกันไม่ให้ติดจากมารดาที่เป็นพาหะ ทำให้ในปัจจุบันผู้ที่อายุน้อยกว่า  33 ปี มีการติดเชื้อน้อยมาก

เกิดก่อนปี 2535 ควรฉีดวัคซีนหรือไม่

อย่างไรก็ตามผู้ที่มีอายุมากกว่า 33 ปีขึ้นไป หรือ เกิดก่อนปี 2535 และไม่เคยฉีดวัคซีน อาจจะเคยติดเชื้อมาแล้ว มีภูมิต้านทานแล้ว หรือเป็นอาหาร โดยเฉพาะผู้มีอายุยิ่งมากก็จะเคยติดเชื้อมาแล้วเป็นจำนวนมากจากธรรมชาติ ดังนั้นในการที่จะฉีดวัคซีนในการป้องกัน เป็นสิ่งที่ดี และให้ดียิ่งขึ้น ควรจะได้มีการตรวจเลือดทุกคน เพื่อจะได้รู้ว่าสถานะของไวรัสตับอักเสบบีของเราเป็นอย่างไร เช่น มีภูมิต้านทานแล้วตามธรรมชาติ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีหรือติดเชื้อเรื้อรัง หรือยังไม่เคยติดและไม่มีภูมิต้านทาน

เพื่อแยกกลุ่ม ให้เราจะให้วัคซีนเฉพาะในกลุ่มที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนและไม่เคยฉีดวัคซีนเท่านั้น ผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีภูมิก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าติดเชื้อแล้วเป็นพาหะ ควรเข้าสู่กระบวนการรักษา และติดตาม เพื่อป้องกันการเกิดโรคร้ายได้แก่ตับแข็งและมะเร็งตับ ดังนั้นผู้ที่เกิดก่อนปี 2535  ควรจะได้มีการตรวจกรองเลือดก่อนที่จะพิจารณาให้วัคซีน

โรคตับอักเสบบี คืออะไร

เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus) ซึ่งสามารถติดต่อทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำคัดหลั่ง โดยติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสใกล้ชิดระหว่างบุคคล การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกัน การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน การเจาะหู และการติดเชื้อขณะคลอดจากมารดาที่มีเชื้อสู่ทารก โดยในปัจจุบันวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อคือการได้รับวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี

การติดต่อของไวรัสตับอักเสบบี

-การสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวในร่างกาย เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการสัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อ
-การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
-การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

ระยะเฉียบพลัน: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 50 รวมถึงทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดามักไม่มีอาการป่วย แต่ในบางรายอาจมีอาการแสดงดังนี้ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีคล้ำ ปวดข้อ โดยทั่วไปจะเริ่มมีอาการภายใน 6 เดือนหลังได้รับเชื้อ โดยจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้

ระยะเรื้อรัง: ผู้ป่วยที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกได้หมดจะทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคตับอักเสบบีระยะเรื้อรังมักไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่หากปล่อยไว้อาจมีการดำเนินไปของโรคเป็นโรคตับที่รุนแรงได้ เช่น โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยในบางรายก็อาจยังไม่มีอาการแสดงของโรคอยู่ดี แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบว่าค่าการทำงานของตับนั้นผิดปกติไป

ที่มาข้อมูล : Yong Poovorawan/โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ที่มารูปภาพ : Getty Images