ฮอร์โมนแห่งความรัก อาจช่วยรักษาโรคหัวใจได้จริง

ฮอร์โมนแห่งความรัก อาจช่วยรักษาโรคหัวใจได้จริง

ฮอร์โมน “ออกซิโทซิน” (Oxytocin) มักถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกผูกพัน ความไว้วางใจ และความอบอุ่นระหว่างคน แต่ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฮอร์โมนนี้อาจมีพลังมากกว่านั้น  อาจช่วย “เยียวยาหัวใจ” ที่บาดเจ็บได้จริง

ฮอร์โมนออกซิโทซินคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ออกซิโทซินเป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นจากบริเวณ ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ในสมอง และถูกส่งไปเก็บไว้ใน ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior Pituitary Gland)

เมื่อร่างกายหรือจิตใจเกิดสถานการณ์บางอย่าง เช่น

  •  การกอด สัมผัส หรือการแสดงความรัก
  •  การคลอดบุตรและการให้นม
  •  การไว้ใจหรือการสื่อสารเชิงบวกกับผู้อื่น
  •  ความรู้สึกปลอดภัยและผูกพัน

สมองจะหลั่งออกซิโทซินเข้าสู่กระแสเลือดทันที ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น และเชื่อมโยงกับคนรอบข้างนอกจากนี้ ออกซิโทซินยังมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การลดความดันโลหิต การควบคุมการเต้นของหัวใจ และการลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นในสภาวะสงบ

สรุปข่าว

ฮอร์โมนแห่งความรัก ออกซิโทซินไม่ได้ทำหน้าที่แค่สร้างความรู้สึกดี ๆ เท่านั้น แต่มันยังส่งสัญญาณไปยัง เยื่อหุ้มหัวใจ (epicardium) ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของหัวใจ ให้ปล่อยเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถกลายเป็นเซลล์ใหม่ได้

ฮอร์โมน “ออกซิโทซิน” (Oxytocin) มักถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกผูกพัน ความไว้วางใจ และความอบอุ่นระหว่างคน แต่ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฮอร์โมนนี้อาจมีพลังมากกว่านั้น  อาจช่วย “เยียวยาหัวใจ” ที่บาดเจ็บได้จริง

ฮอร์โมนออกซิโทซินคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ออกซิโทซินเป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นจากบริเวณ ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ในสมอง และถูกส่งไปเก็บไว้ใน ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior Pituitary Gland)

เมื่อร่างกายหรือจิตใจเกิดสถานการณ์บางอย่าง เช่น

  •  การกอด สัมผัส หรือการแสดงความรัก
  •  การคลอดบุตรและการให้นม
  •  การไว้ใจหรือการสื่อสารเชิงบวกกับผู้อื่น
  •  ความรู้สึกปลอดภัยและผูกพัน

สมองจะหลั่งออกซิโทซินเข้าสู่กระแสเลือดทันที ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น และเชื่อมโยงกับคนรอบข้างนอกจากนี้ ออกซิโทซินยังมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การลดความดันโลหิต การควบคุมการเต้นของหัวใจ และการลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นในสภาวะสงบ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตตเผยความหวังใหม่

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต (Michigan State University) ได้ทำการทดลองในปลาซิบราฟิช ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการฟื้นฟูอวัยวะของตัวเอง รวมถึงหัวใจด้วย

พวกเขาพบว่า หลังจากหัวใจของปลาถูกทำลาย ระดับออกซิโทซินในสมองของมัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เท่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ฮอร์โมนนี้จะส่งสัญญาณให้ เซลล์ต้นกำเนิดชนิดพิเศษในหัวใจ ที่เรียกว่า EpiPCs (epicardium-derived progenitor cells) ตื่นตัวขึ้น และเริ่มเปลี่ยนสภาพไปเป็น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย

ที่น่าสนใจคือ เมื่อนักวิทยาศาสตร์นำกระบวนการเดียวกันนี้มาทดลองกับ เซลล์หัวใจของมนุษย์ในห้องแล็บ ก็พบว่า ออกซิโทซินสามารถกระตุ้นการฟื้นฟูในลักษณะคล้ายกันได้เช่นกัน

ทำไมฮอร์โมนแห่งความรักถึงช่วยหัวใจได้

ออกซิโทซินไม่ได้ทำหน้าที่แค่สร้างความรู้สึกดี ๆ เท่านั้น แต่มันยังส่งสัญญาณไปยัง เยื่อหุ้มหัวใจ (epicardium) ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของหัวใจ ให้ปล่อยเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถกลายเป็นเซลล์ใหม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่าออกซิโทซินช่วย

 • ลดการอักเสบในหัวใจ

 • ลดการตายของเซลล์หัวใจหลังจากเกิดภาวะหัวใจวาย

 • ช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่

 • ปรับสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเต้นของหัวใจ

ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าเดิม

จากความรัก สู่การรักษาโรคหัวใจ

ออกซิโทซินถูกใช้ในวงการแพทย์อยู่แล้ว เช่น ใช้ช่วยให้มดลูกหดตัวระหว่างคลอด ซึ่งแสดงว่าฮอร์โมนนี้ ปลอดภัยในระดับหนึ่งสำหรับการใช้ทางการแพทย์

ดังนั้น นักวิจัยจึงมองว่า อาจสามารถพัฒนา “ยาออกซิโทซินรุ่นใหม่” ที่มีฤทธิ์นานขึ้น เพื่อช่วยผู้ป่วยที่หัวใจได้รับความเสียหายจากภาวะหัวใจวาย

แม้ตอนนี้งานวิจัยจะยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องแล็บและสัตว์ทดลอง แต่แนวโน้มก็น่าสนใจมาก เพราะหากประสบความสำเร็จในมนุษย์ ออกซิโทซินอาจกลายเป็นแนวทางใหม่ในการฟื้นฟูหัวใจโดยไม่ต้องผ่าตัด

ความหวังใหม่ของการรักษาหัวใจ

งานวิจัยนี้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก” อาจกลายเป็น ฮีโร่ของหัวใจ ได้ในอนาคตจากสิ่งที่เคยเป็นเพียงฮอร์โมนแห่งความผูกพัน ออกซิโทซินอาจกลายเป็นกุญแจสำคัญของการรักษาผู้ป่วยหัวใจในวันข้างหน้า