ศึกชิงตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ ไทย VS เวียดนาม


ตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ อาจเป็นหนึ่งในทางรอดของปัญหาราคาข้าวตกต่ำซ้ำซาก และถือเป็นตลาดพรีเมียมที่น่าจับตา เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่าไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ไม่เช่นนั้นจะเสียเปรียบเวียดนามมากขึ้นในตลาดโลก จากกระแสผู้บริโภคสีเขียว โดยเฉพาะใน EU หนึ่งในตลาดสำคัญของไทยที่ในอนาคตอาจบังคับใช้เกณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำ



ศึกชิงตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ ไทย VS เวียดนาม

สรุปข่าว

ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ไม่เช่นนั้นจะเสียเปรียบเวียดนามมากขึ้นในตลาดโลก จากกระแสผู้บริโภคสีเขียว โดยเฉพาะใน EU หนึ่งในตลาดสำคัญของไทยที่ในอนาคตอาจบังคับใช้เกณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้หากไทยยังไม่เร่งเปลี่ยนไปสู่ ข้าวคาร์บอนต่ำ ไทยอาจเสียตลาดให้เวียดนาม ถูกกีดกันทางการค้า และเสียโอกาสในตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม


หากเปรียบเทียบการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำระหว่างไทย กับ เวียดนามพบว่าไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวสูงกว่าเวียดนาม โดยไทยเป็นผู้ปล่อยก๊าซจากภาคเกษตรเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าไทยมาก อยู่ในอันดับที่ 7

ด้านศักยภาพการผลิตข้าวไทยผลิตได้ 4 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามผลิตได้ 6.3 ล้านตัน หรือมากกว่าไทยราว 1.6 เท่า 
ขณะที่ราคาพบว่าข้าวไทยราคาเฉลี่ย 964 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน ขณะที่ข้าวเวียดนาม 521 ดอลลาร์ฯ ต่อตัน


จากข้อมูลจะเห็นว่าเวียดนามมีความได้เปรียบกว่าไทยในหลายด้าน ทั้งศักยภาพการผลิต เป้าหมายที่ชัดเจน ต้นทุนที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบด้านการส่งออกไป EU ไทยจึงต้องเร่งปรับตัว มิฉะนั้นจะเสียตลาดให้เวียดนามมากขึ้น

ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ที่มารูปภาพ : TNN ONLINE

avatar

วุฒิพันธุ์ เปรมาสวัสดิ์