ดัชนีการเมืองไทยทรงตัว ปชช.ปลื้ม “คนละครึ่งพลัส” พยุงแต้มเศรษฐกิจ

ดัชนีการเมืองไทยทรงตัว ปชช.ปลื้ม “คนละครึ่งพลัส” พยุงแต้มเศรษฐกิจ

วันนี้ (2 พ.ย. 68) ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจาก สวนดุสิตโพล ประจำเดือนตุลาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่า คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยยังคง "ทรงตัว" จากเดือนก่อนหน้า ด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.02 คะแนน สะท้อนสภาวะที่ประชาชนกำลัง "เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ" ต่อการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ แม้จะมีความพยายามเร่งขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ แต่ประเด็นร้อนแรงอย่างความขัดแย้งชายแดน, ปัญหาสแกมเมอร์, และประเด็นบันทึกข้อตกลง (MOU) แรร์เอิร์ธ ได้กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ

สรุปข่าว

จากการวิเคราะห์ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ประจำเดือนตุลาคม 2568 ดัชนีการเมืองไทยยัง ทรงตัว ที่ 4.02 คะแนน สะท้อนว่าประชาชน "เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ" ต่อรัฐบาล คะแนนการแก้ปัญหา ทุจริตคอร์รัปชัน/ความโปร่งใส ต่ำสุดที่ 3.58 คะแนน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากประเด็น "สแกมเมอร์" และ MOU แรร์เอิร์ธ ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น มีเพียงผลงาน "คนละครึ่งพลัส" ที่พยุงคะแนนรัฐบาลไว้ได้ ขณะที่ ฝ่ายค้าน (รักชนก ศรีนอก) มีบทบาทโดดเด่นในการตรวจสอบ

วันนี้ (2 พ.ย. 68) ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจาก สวนดุสิตโพล ประจำเดือนตุลาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่า คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยยังคง "ทรงตัว" จากเดือนก่อนหน้า ด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.02 คะแนน สะท้อนสภาวะที่ประชาชนกำลัง "เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ" ต่อการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ แม้จะมีความพยายามเร่งขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ แต่ประเด็นร้อนแรงอย่างความขัดแย้งชายแดน, ปัญหาสแกมเมอร์, และประเด็นบันทึกข้อตกลง (MOU) แรร์เอิร์ธ ได้กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใสของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ

MOU แรร์เอิร์ธ - สแกมเมอร์”  ฉุดคะแนนความโปร่งใส

ตัวชี้วัดที่น่ากังวลที่สุดในเดือนตุลาคม คือ การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและความโปร่งใส ซึ่งได้รับคะแนนต่ำสุดเพียง 3.58 คะแนน นางสาวเบญจพร พึงไชย ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า คะแนนที่ตกต่ำนี้เป็นผลพวงโดยตรงจากสถานการณ์ความขัดแย้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ลุกลามไปสู่ปัญหาใหญ่ระดับชาติ ทั้งเรื่อง "สแกมเมอร์" การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่รัฐมนตรีมีชื่อพัวพันกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในวาระแห่งชาติ

นอกจากนี้ การที่ประชาชนไม่ได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนล่วงหน้าเกี่ยวกับ MOU แรร์เอิร์ธ ก็ยิ่งตอกย้ำภาพความไม่โปร่งใสของรัฐบาลในสายตาประชาชน ทำให้ดัชนีภาพรวมได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ฝ่ายค้านทำคะแนนพุ่ง - "รักชนก ศรีนอก" โดดเด่น

ในทางกลับกัน ผลงานของฝ่ายค้าน กลับเป็นตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 4.60 คะแนน และมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าประชาชนกำลังพึ่งพาฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

นักการเมืองฝ่ายค้านโดดเด่น: นางสาวรักชนก ศรีนอก มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน ด้วยคะแนนร้อยละ 37.85

ผลงานฝ่ายค้านชื่นชอบสูงสุด: คือการ "ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล" ด้วยคะแนนร้อยละ 53.34

"คนละครึ่งพลัส" ตัวช่วยเดียวของรัฐบาล

แม้รัฐบาลจะเผชิญแรงกดดันด้านความโปร่งใส แต่มีเพียงผลงานเดียวที่ช่วยพยุงดัชนีความเชื่อมั่นไว้ได้ คือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบสูงสุด: คือการ "เปิดใช้จ่ายคนละครึ่งพลัส" ซึ่งได้รับความชื่นชอบสูงถึงร้อยละ 64.42

นางสาวเบญจพร ชี้ว่า ผลงานด้านนโยบายประชานิยมอย่าง "คนละครึ่งพลัส" อาจเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้คะแนนดัชนีโดยรวมของรัฐบาลไม่ลดลง แต่ยังคงที่ในเดือนนี้

ในด้านนักการเมืองรัฐบาลที่ได้คะแนนบทบาทโดดเด่นสูงสุดคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 48.01 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเร่งขับเคลื่อนนโยบายที่ได้รับความสนใจและการพยายามคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

สัญญาณเตือนเสถียรภาพก่อนเลือกตั้งปีหน้า

ประธานสวนดุสิตโพลระบุว่า สถานการณ์ดัชนีที่ "ทรงตัว" แต่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของประชาชน เป็นภาพรวมที่รัฐบาลไม่ควรนิ่งนอนใจ

นักวิเคราะห์เตือนว่า หากรัฐบาลยังไม่สามารถแสดงออกถึงความโปร่งใสที่ชัดเจน และไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งใหญ่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติได้อย่างเด็ดขาด อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลงอย่างรวดเร็ว และกระทบต่อ เสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว รวมถึงผลการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า

การบ้านสำคัญของรัฐบาลในเดือนถัดไปจึงไม่ใช่เพียงแค่การขับเคลื่อนนโยบาย แต่คือการแสดงความจริงใจและความโปร่งใสต่อสาธารณะ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นที่กำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนักจากปัญหาที่ประชาชนมองว่าเป็น "วาระแห่งชาติ"

ที่มาข้อมูล : รัฐบาลไทย

ที่มารูปภาพ : รัฐบาลไทย