
การแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ 2024-25 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา คริสตัล พาเลซ หักปากกาเซียน เฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 จากประตูชัยของ เอเบเรชี่ เอเซ่ ตั้งแต่นาทีที่ 16 ส่งผลให้ พาเลซ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้เป็นสมัยแรก และเป็นแชมป์เมเจอร์แรกของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งมา 119 ปี
ก่อนเกมนี้ คริสตัล พาเลซ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตนเองได้เสียที หลังเคยเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 1990 และ 2016 แต่ก็พลาดท่าแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ มีผลงานที่น่าผิดหวังในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เมื่อหมดลุ้นแชมป์ไปอย่างรวดเร็ว และถือเป็นฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม ขณะที่ในรายการอื่นอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ลีก คัพ ก็ตกรอบไปหมด ไม่มีความสำเร็จอะไร ทำให้ แมนฯ ซิตี้ หมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองให้ได้ เพื่อปลอบใจแฟนๆ
ครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายคุมเกมได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเกม และมีลุ้นประตูตั้งแต่นาทีที่ 12 เมื่อ ซาวินโญ่ เตะมุมจากฝั่งขวามาให้ ยอชโก้ กวาร์ดิโอล ได้โหม่ง แต่ถูก ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟไว้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะครองบอลได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กลายเป็น คริสตัล พาเลซ ที่เป็นฝ่ายออกนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 16 จากจังหวะเล่นเกมสวนกลับ ดาเนียล มูนญอซ แบ็กขวาตัวเก่งได้บอลทะลุขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจะเปิดเข้ากลางให้ เอเบเรชี่ เอเซ่ วิ่งตัดเข้ามายิงเข้าประตูไปง่ายๆ
สรุปข่าว
การแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ 2024-25 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา คริสตัล พาเลซ หักปากกาเซียน เฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 จากประตูชัยของ เอเบเรชี่ เอเซ่ ตั้งแต่นาทีที่ 16 ส่งผลให้ พาเลซ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้เป็นสมัยแรก และเป็นแชมป์เมเจอร์แรกของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งมา 119 ปี
ก่อนเกมนี้ คริสตัล พาเลซ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตนเองได้เสียที หลังเคยเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 1990 และ 2016 แต่ก็พลาดท่าแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ มีผลงานที่น่าผิดหวังในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เมื่อหมดลุ้นแชมป์ไปอย่างรวดเร็ว และถือเป็นฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม ขณะที่ในรายการอื่นอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ลีก คัพ ก็ตกรอบไปหมด ไม่มีความสำเร็จอะไร ทำให้ แมนฯ ซิตี้ หมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองให้ได้ เพื่อปลอบใจแฟนๆ
ครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายคุมเกมได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเกม และมีลุ้นประตูตั้งแต่นาทีที่ 12 เมื่อ ซาวินโญ่ เตะมุมจากฝั่งขวามาให้ ยอชโก้ กวาร์ดิโอล ได้โหม่ง แต่ถูก ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟไว้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะครองบอลได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กลายเป็น คริสตัล พาเลซ ที่เป็นฝ่ายออกนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 16 จากจังหวะเล่นเกมสวนกลับ ดาเนียล มูนญอซ แบ็กขวาตัวเก่งได้บอลทะลุขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจะเปิดเข้ากลางให้ เอเบเรชี่ เอเซ่ วิ่งตัดเข้ามายิงเข้าประตูไปง่ายๆ
หลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังเป็นฝ่ายบุกหนัก และในนาทีที่ 23 ก็มีจังหวะปัญหาเกิดขึ้น เมื่อ กวาร์ดิโอล เปิดบอลยาวขึ้นหน้าไปให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ใช้ความเร็วควบเข้าหาบอล ในจังหวะที่กำลังจะถึงบอลนั้น ปรากฏว่า ดีน เฮนเดอร์สัน ออกมาใช้มือปัดให้บอลออกไปด้านข้าง และจากภาพช้าแสดงให้เห็นว่ามือของนายทวาร คริสตัล พาเลซ สัมผัสบอลที่นอกกรอบเขตโทษอย่างชัดเจน แต่วีเออาร์กลับไม่มีการเรียกให้ผู้ตัดสินไปดูมอนิเตอร์ที่ข้างสนาม ทำให้นอกจาก แมนฯ ซิตี้ จะพลาดโอกาสได้ประตูตีเสมอแล้ว เฮนเดอร์สัน ยังรอดพ้นการโดนใบแดงไปด้วย
อย่างไรก็ดี นาทีที่ 33 แมนฯ ซิตี้ มาได้จุดโทษ หลัง แบร์นาร์โด้ ซิลวา โดย ไทริค มิทเชลล์ ทำฟาวล์ในจังหวะที่ลากบอลไปเกือบถึงสุดเส้นหลัง แต่ ฮาแลนด์ ที่ปกติเป็นมือสังหารประจำทีม กลับให้ โอมาร์ มาร์มูช มารับหน้าที่แทน ก่อนที่ดาวยิงทีมชาติอียิปต์จะยิงไปโดน ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ
ช่วงท้ายครึ่งแรก นาทีที่ 43 แมนฯ ซิตี้ ได้โอกาสทองที่จะตีเสมอ เมื่อ เฌเรมี่ โดกู ลากบอลตัดเข้ามาในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะยิงด้วยเท้าขวา บอลโค้งกำลังจะเสียบเสาไกล แต่ เฮนเดอร์สัน พุ่งปัดมือเดียว เป็นซูเปอร์เซฟ และทำให้จบครึ่งแรก คริสตัล พาเลซ ยังนำ แมนฯ ซิตี้ อยู่ 1-0
ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ยังมีเกมที่เหนือกว่า และเกือบจะตีเสมอได้ทันที ในจังหวะที่ ซาวินโญ่ เปิดบอลจากกราบขวาเข้าไปหน้าประตู ขณะที่ ฮาแลนด์ กำลังจะได้โขกเต็มๆ นั้น กลับโดน คริส ริชาร์ดส์ แนวรับของ พาเลซ โหม่งสกัดเอาไว้ได้ก่อน ไปเข้าทาง โดกู ได้ซ้ำแต่ก็ยังยิงไปติดบล็อก
นาทีที่ 58 คริสตัล พาเลซ เกือบนำ 2-0 หลัง มูนญอซ ยิงเข้าประตูไป แต่ วีเออาร์ เช็คแล้วเห็นว่าบอลไปแฉลบ อิสไมล่า ซาร์ ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้โดนริบประตูไป พาเลซ ยังคงนำอยู่ 1-0 ตามเดิม
ช่วงท้ายเกม นาทีที่ 82 ทีมเรือใบสีฟ้าได้โอกาสทองอีกครั้ง เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลให้ เคลาดิโอ เอเชเวร์รี่ ดาวรุ่งที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ได้บอลโล่งๆ ในกรอบเขตโทษด้านขวา แต่ดันยิงไปตรงตัว เฮนเดอร์สัน เซฟไว้ได้อีกครั้ง
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนฯ ซิตี้ ยังได้โอกาสอีก 2 ครั้ง จากจังหวะที่ เดอ บรอยน์ ได้ยิงหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลหลุดกรอบไปนิดเดียว และ เอเชเวร์รี่ ที่ได้ยิงอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ผ่านมือของ เฮนเดอร์สัน ทำให้จบเกม คริสตัล พาเลซ เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ไป 1-0 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยแรกมาครอง และแชมป์ระดับเมเจอร์รายการแรกในประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1905
ผู้เล่น 11 คนแรกของทั้งสองทีม
คริสตัล พาเลซ (3-4-2-1) : ดีน เฮนเดอร์สัน : คริส ริชาร์ดส์, มาซ็องซ์ ลาครัวซ์, มาร์ก เกฮี : ดาเนียล มูนญอซ, อดัม วอร์ตัน, ไดจิ คามาดะ, ไทริค มิทเชลล์ : อิสไมล่า ซาร์, เอเบเรชี่ เอเซ่ : ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า
แมนฯ ซิตี้ (4-2-3-1) : สเตฟาน ออร์เตก้า : มานูเอล อาคานจี, รูเบน ดิอาส, ยอชโก้ กวาร์ดิโอล, นิโก้ โอเรลลี่ : เควิน เดอ บรอยน์, แบร์นาร์โด้ ซิลวา : ซาวินโญ่, โอมาร์ มาร์มูช, เฌเรมี่ โดกู : เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : Emirates FA Cup