
การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2024-25 ในคืนวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ที่เพิ่งพลาดแชมป์ เอฟเอ คัพ มาหมาดๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาแก้ตัวได้อีกครั้ง หลังเปิดบ้านเอาชนะ บอร์นมัธ 3-1 ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตารางได้สำเร็จ ทำให้นัดสุดท้ายของฤดูกาล ขออีกแค่ 1 คะแนนเป็นอย่างน้อย ก็น่าจะเพียงพอต่อการการันตีไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีหน้า
แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามแบบเต็มที่ในเกมนี้ นำโดย เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และมีตัวสนับสนุนอย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์ และ โอมาร์ มาร์มูช ขณะที่ บอร์นมัธ ที่ไม่ได้มีลุ้นอะไรแล้ว ก็ส่งตัวหลักลงเต็มที่เช่นกัน นำโดยกองหน้าอย่าง เอวานิลสัน และตัวปั้นเกมอย่าง อองตวน เซเมนโย่, จัสติน ไคลเวิร์ต และ มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์
เริ่มเกมมาในครึ่งแรก เป็นทาง บอร์นมัธ ที่ได้ลุ้นก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 หลัง เอวานิลสัน ผ่านบอลให้ จัสติน ไคลเวิร์ต ได้ยิงด้วยขวาในกรอบเขตโทษ แต่ไม่ผ่านมือของ เอแดร์ซอน
หลังจากนั้นนาทีที่ 14 กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ออกนำได้ก่อน จากจังหวะที่ มาเตโอ โควาซิช ไหลบอลไปหน้าเขตโทษให้ โอมาร์ มาร์มูช ยิงไกลระยะเกิน 30 หลา บอลพุ่งเช็ดสามเหลี่ยมเข้าประตูไปอย่างเหลือเชื่อ ช่วยให้ทีมเรือใบสีฟ้าขึ้นนำ 1-0
เกมยังคงเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่เล่นได้ดีกว่า และได้ลุ้นประตูเพิ่มอีกหลายจังหวะ โดยในนาทีที่ 22 เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยิงด้วยซ้ายจ่อๆ หน้าประตู แต่ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารทีมเยือนยังเซฟไว้ได้
ถัดจากนั้นอีก 3 นาที แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูที่สองอย่างยิ่ง เมื่อ มาร์มูช ได้โอกาสหลุดเข้าเขตโทษทางฝั่งขวา ก่อนจะจ่ายเข้ากลางให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้ยิงโล่งๆ หน้ากรอบ 6 หลา แต่บอลกลับข้ามคานไปแบบไม่น่าเชื่อ
สรุปข่าว
การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2024-25 ในคืนวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ที่เพิ่งพลาดแชมป์ เอฟเอ คัพ มาหมาดๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาแก้ตัวได้อีกครั้ง หลังเปิดบ้านเอาชนะ บอร์นมัธ 3-1 ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตารางได้สำเร็จ ทำให้นัดสุดท้ายของฤดูกาล ขออีกแค่ 1 คะแนนเป็นอย่างน้อย ก็น่าจะเพียงพอต่อการการันตีไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีหน้า
แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามแบบเต็มที่ในเกมนี้ นำโดย เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และมีตัวสนับสนุนอย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์ และ โอมาร์ มาร์มูช ขณะที่ บอร์นมัธ ที่ไม่ได้มีลุ้นอะไรแล้ว ก็ส่งตัวหลักลงเต็มที่เช่นกัน นำโดยกองหน้าอย่าง เอวานิลสัน และตัวปั้นเกมอย่าง อองตวน เซเมนโย่, จัสติน ไคลเวิร์ต และ มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์
เริ่มเกมมาในครึ่งแรก เป็นทาง บอร์นมัธ ที่ได้ลุ้นก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 หลัง เอวานิลสัน ผ่านบอลให้ จัสติน ไคลเวิร์ต ได้ยิงด้วยขวาในกรอบเขตโทษ แต่ไม่ผ่านมือของ เอแดร์ซอน
หลังจากนั้นนาทีที่ 14 กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ออกนำได้ก่อน จากจังหวะที่ มาเตโอ โควาซิช ไหลบอลไปหน้าเขตโทษให้ โอมาร์ มาร์มูช ยิงไกลระยะเกิน 30 หลา บอลพุ่งเช็ดสามเหลี่ยมเข้าประตูไปอย่างเหลือเชื่อ ช่วยให้ทีมเรือใบสีฟ้าขึ้นนำ 1-0
เกมยังคงเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่เล่นได้ดีกว่า และได้ลุ้นประตูเพิ่มอีกหลายจังหวะ โดยในนาทีที่ 22 เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยิงด้วยซ้ายจ่อๆ หน้าประตู แต่ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า นายทวารทีมเยือนยังเซฟไว้ได้
ถัดจากนั้นอีก 3 นาที แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูที่สองอย่างยิ่ง เมื่อ มาร์มูช ได้โอกาสหลุดเข้าเขตโทษทางฝั่งขวา ก่อนจะจ่ายเข้ากลางให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้ยิงโล่งๆ หน้ากรอบ 6 หลา แต่บอลกลับข้ามคานไปแบบไม่น่าเชื่อ
หลังจากนั้น นาทีที่ 33 บอร์นมัธ เกือบตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์ เปิดบอลให้ เอวานิลสัน ยิงด้วยขวาในกรอบเขตโทษ แต่บอลไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย
ในช่วงท้ายครึ่งแรก นาทีที่ 38 แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 2-0 จนได้ เมื่อ อิลคาย กุนโดกัน เก็บบอลได้ในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะจ่ายย้อนคืนมาให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา วิ่งสอดมายิงเข้าเสาแรกไปอย่างเด็ดขาด ทำให้จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ นำอยู่สบายๆ 2-0
ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ยังครองเกมได้เหนือกว่า แต่เกมเริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนาทีที่ 67 เจ้าถิ่นก็มาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ มาเตโอ โควาซิช ไปคว้า เอวานิลสัน ที่จะหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงประตู ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที
อย่างไรก็ตาม ในนาทีที่ 73 บอร์นมัธ ก็มาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนเช่นกัน เมื่อ ลูอิส คุ้ก เสียบหนักใส่ นิโก้ กอนซาเลซ กองกลางเจ้าถิ่น ทำให้โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไปอีกราย
ในช่วงท้ายเกม แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูนำห่าง 3-0 ในนาทีที่ 89 จากจังหวะที่ มาเตอุส นูเนส ตักบอลให้ นิโก้ กอนซาเลซ พาบอลหลุดเข้าไปยิงเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสวยงาม
อย่างไรก็ดี ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บอร์นมัธ มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 3-1 จากการยิงของ ดาเนียล เจ็บบิสัน ตัวสำรอง แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้น ทำให้จบเกม แมนฯ ซิตี้ เอาชนะ บอร์นมัธ ไปสบายๆ 3-1 เก็บเพิ่มเป็น 68 แต้มจาก 37 เกม ขยับขึ้นไปรั้งอันดับที่ 3 ของตาราง ถ้าไม่พลาดท่าแพ้ในเกมนัดสุดท้าย ในเกมที่จะบุกไปเยือน ฟูแล่ม ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคมนี้ ก็น่าจะเพียงพอต่อการติดท็อป 5 เพื่อไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าต่อไป