
ตลาดนักเตะช่วงหน้าร้อนเปิดทำการมาได้สักพัก และมีนักเตะเริ่มย้ายทีมกันบางส่วนแล้ว แต่สำหรับทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล นั้น ยังไม่มีการเสริมทัพใดๆ เข้ามาเลย
แน่นอนว่านักเตะที่พวกเขาต้องการอย่างมาก และน่าจะเป็นรายแรกๆ ในช่วงซัมเมอร์นี้ก็คือกองหน้าตัวเป้า เพราะนี่คือตำแหน่งที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญของพวกเขา และทำให้ทีมปืนใหญ่ไม่มีความสามารถมากพอในการที่จะยืนระยะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ ลิเวอร์พูล
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซน่อล เจอปัญหาใหญ่ๆ สองระลอก นั่นคือช่วงที่แนวรับบาดเจ็บ กับช่วงที่แนวรุกหายไปเกือบจะยกแผง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะเอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้แต่อย่างใด โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้า ที่แฟนๆ เรียกร้องให้ซื้อใหม่ตั้งแต่ตลาดนักเตะเดือนมกราคมแล้ว แต่ มิเกล อาร์เตต้า เชื่อว่าที่มีอยู่นั้นเพียงพอ
จนกระทั่ง กาเบรียล เชซุส และ ไค ฮาแวร์ตซ์ มาเจ็บทั้งฤดูกาล ทีมปืนใหญ่จึงไม่เหลือตัวเลือกอื่นเข้ามาช่วยทีม ทำให้ต้องแก้ปัญหาด้วยการโยก มิเกล เมริโน่ ขยับมายืนป็นกองหน้าตัวเป้าจำเป็นในช่วงท้ายซีซั่น ซึ่งอาจจะพอช่วยทีมได้ แต่นั่นก็คือแค่การแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น
ที่สำคัญ ถ้าเรามองลึกลงไปในทีม อาร์เซน่อล ชุดนี้ จะเห็นว่าทั้ง กาเบรียล เชซุส และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ต่างไม่ใช่ "สไตรค์เกอร์" หรือกองหน้าในแบบฉบับที่เป็นจอมถล่มประตูแต่อย่างใด ส่วนพวกที่เหลือไม่ว่าจะเป็น กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, เลอันโดร ทรอสซาร์ และ บูคาโย่ ซาก้า ต่างเป็นผู้เล่นในสไตล์กองหน้าถึงปีกกันทั้่งนั้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้ อาร์เซน่อล ต้องหันมาจริงจังกับการไล่ล่ากองหน้าตัวเป้าแท้ๆ ในซัมเมอร์นี้ และเป้าหมายใหญ่ที่สุดของพวกเขานั้นมีชื่อ เบนยามิน เชชโก้ กองหน้าทีมชาติสโลวีเนียของ แอร์เบ ไลป์ซิก และวันนี้เราจะมาส่องประวัติแข้งรายนี้กันว่าทำไม มิเกล อาร์เตต้า ถึงอยากได้มาร่วมทีมนักหนา
เบนยามิน เชชโก้ เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2003 เพิ่งจะอายุครบ 22 ปีไปหมาดๆ เขาเกิดที่เมืองราเดเช่ ประเทศสโลวีเนีย และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ เขาก็เริ่มเล่นฟุตบอลทันที โดยเริ่มต้นกับทีมเล็กๆ ในบ้านเกิดอย่าง เอ็นเค ราเดเช่
เชชโก้ บ่มเพาะฝีเท้ากับ ราเดเช่ อยู่ราวๆ 3 ปี จากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เอ็นเค รูดาร์ โดยเจ้าตัวอยู่ในทีมชุดอายุไม่เกิน 11 ปี แต่ก็อยู่ได้แค่ปีเดียว และต้องกลับไปที่ ราเดเช่ อีกครั้ง
หลังจากกลับมาอยู่ที่ ราเดเช่ อีกราวๆ 2 ปี เชชโก้ ในวัย 13 ปีก็ได้ย้ายทีมอีกครั้ง และคราวนี้เขาได้ไปอยู่กับ เคิร์ชโก้ โปซาฟเย่ ทีมในระดับดิวิชั่น 3 ซึ่งที่นี่ เชชโก้ ได้ลงเล่นทั้งในระดับ ยู 15 และ ยู 17 โดยในฤดูกาล 2017-18 ขณะที่เขามีอายุเพียง 14 ปีนั้น เขาจัดการระเบิดตาข่ายไปถึง 59 ประตูจากการลงเล่นเพียง 23 เกม นั่นทำให้ในปี 2018 สโมสรใหญ่อย่าง ดอมซาเล่ ได้ถึงตัวเขาไปร่วมทีมทันที
อย่างไรก็ตาม ด้วยความโดดเด่น เชชโก้ ได้อยู่กับ ดอมซ่าเล่ เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น และเป็น เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ทีมดังของออสเตรียที่มองเห็นแวว และรีบมาฉกตัวไปร่วมทีมในช่วงหน้าร้อนปี 2019 ซึ่งในเวลานั้น เชชโก้ เพิ่งจะมีอายุครบ 16 ปีหมาดๆ เขาได้สัญญาอาชีพ 3 ปีทันที แต่ถูกส่งให้ ลีเฟอริง ทีมในระดับลีกา 2 ของออสเตรียยืมตัวไปใช้งานก่อน ซึ่งสโมสรแห่งนี้มีสถานะเป็นทีมสำรองของ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก นั่นเอง
สรุปข่าว
ตลาดนักเตะช่วงหน้าร้อนเปิดทำการมาได้สักพัก และมีนักเตะเริ่มย้ายทีมกันบางส่วนแล้ว แต่สำหรับทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล นั้น ยังไม่มีการเสริมทัพใดๆ เข้ามาเลย
แน่นอนว่านักเตะที่พวกเขาต้องการอย่างมาก และน่าจะเป็นรายแรกๆ ในช่วงซัมเมอร์นี้ก็คือกองหน้าตัวเป้า เพราะนี่คือตำแหน่งที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญของพวกเขา และทำให้ทีมปืนใหญ่ไม่มีความสามารถมากพอในการที่จะยืนระยะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ ลิเวอร์พูล
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซน่อล เจอปัญหาใหญ่ๆ สองระลอก นั่นคือช่วงที่แนวรับบาดเจ็บ กับช่วงที่แนวรุกหายไปเกือบจะยกแผง แต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะเอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้แต่อย่างใด โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้า ที่แฟนๆ เรียกร้องให้ซื้อใหม่ตั้งแต่ตลาดนักเตะเดือนมกราคมแล้ว แต่ มิเกล อาร์เตต้า เชื่อว่าที่มีอยู่นั้นเพียงพอ
จนกระทั่ง กาเบรียล เชซุส และ ไค ฮาแวร์ตซ์ มาเจ็บทั้งฤดูกาล ทีมปืนใหญ่จึงไม่เหลือตัวเลือกอื่นเข้ามาช่วยทีม ทำให้ต้องแก้ปัญหาด้วยการโยก มิเกล เมริโน่ ขยับมายืนป็นกองหน้าตัวเป้าจำเป็นในช่วงท้ายซีซั่น ซึ่งอาจจะพอช่วยทีมได้ แต่นั่นก็คือแค่การแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น
ที่สำคัญ ถ้าเรามองลึกลงไปในทีม อาร์เซน่อล ชุดนี้ จะเห็นว่าทั้ง กาเบรียล เชซุส และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ต่างไม่ใช่ "สไตรค์เกอร์" หรือกองหน้าในแบบฉบับที่เป็นจอมถล่มประตูแต่อย่างใด ส่วนพวกที่เหลือไม่ว่าจะเป็น กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, เลอันโดร ทรอสซาร์ และ บูคาโย่ ซาก้า ต่างเป็นผู้เล่นในสไตล์กองหน้าถึงปีกกันทั้่งนั้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้ อาร์เซน่อล ต้องหันมาจริงจังกับการไล่ล่ากองหน้าตัวเป้าแท้ๆ ในซัมเมอร์นี้ และเป้าหมายใหญ่ที่สุดของพวกเขานั้นมีชื่อ เบนยามิน เชชโก้ กองหน้าทีมชาติสโลวีเนียของ แอร์เบ ไลป์ซิก และวันนี้เราจะมาส่องประวัติแข้งรายนี้กันว่าทำไม มิเกล อาร์เตต้า ถึงอยากได้มาร่วมทีมนักหนา
เบนยามิน เชชโก้ เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2003 เพิ่งจะอายุครบ 22 ปีไปหมาดๆ เขาเกิดที่เมืองราเดเช่ ประเทศสโลวีเนีย และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ เขาก็เริ่มเล่นฟุตบอลทันที โดยเริ่มต้นกับทีมเล็กๆ ในบ้านเกิดอย่าง เอ็นเค ราเดเช่
เชชโก้ บ่มเพาะฝีเท้ากับ ราเดเช่ อยู่ราวๆ 3 ปี จากนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของ เอ็นเค รูดาร์ โดยเจ้าตัวอยู่ในทีมชุดอายุไม่เกิน 11 ปี แต่ก็อยู่ได้แค่ปีเดียว และต้องกลับไปที่ ราเดเช่ อีกครั้ง
หลังจากกลับมาอยู่ที่ ราเดเช่ อีกราวๆ 2 ปี เชชโก้ ในวัย 13 ปีก็ได้ย้ายทีมอีกครั้ง และคราวนี้เขาได้ไปอยู่กับ เคิร์ชโก้ โปซาฟเย่ ทีมในระดับดิวิชั่น 3 ซึ่งที่นี่ เชชโก้ ได้ลงเล่นทั้งในระดับ ยู 15 และ ยู 17 โดยในฤดูกาล 2017-18 ขณะที่เขามีอายุเพียง 14 ปีนั้น เขาจัดการระเบิดตาข่ายไปถึง 59 ประตูจากการลงเล่นเพียง 23 เกม นั่นทำให้ในปี 2018 สโมสรใหญ่อย่าง ดอมซาเล่ ได้ถึงตัวเขาไปร่วมทีมทันที
อย่างไรก็ตาม ด้วยความโดดเด่น เชชโก้ ได้อยู่กับ ดอมซ่าเล่ เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น และเป็น เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ทีมดังของออสเตรียที่มองเห็นแวว และรีบมาฉกตัวไปร่วมทีมในช่วงหน้าร้อนปี 2019 ซึ่งในเวลานั้น เชชโก้ เพิ่งจะมีอายุครบ 16 ปีหมาดๆ เขาได้สัญญาอาชีพ 3 ปีทันที แต่ถูกส่งให้ ลีเฟอริง ทีมในระดับลีกา 2 ของออสเตรียยืมตัวไปใช้งานก่อน ซึ่งสโมสรแห่งนี้มีสถานะเป็นทีมสำรองของ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก นั่นเอง
ฤดูกาลแรกของ เชชโก้ กับ ลีเฟอริง นั้น ถือว่ายังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร เมื่อได้ลงเล่นไป 15 นัด ทำไปแค่ 1 ประตู แต่ในฤดูกาลถัดมา 2020-21 ถือเป็นซีซั่นที่ เชชโก้ ได้โชว์ศักยภาพที่แท้จริงออกมา เมื่อจัดการทำไป 21 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 29 นัดในลีกา 2 ออสเตรีย คว้ารางวัลรองดาวซัลโวของลีก นอกจากนี้ประตูส่วนใหญ่ของ เชชโก้ ยังเกิดขึ้นในช่วงท้ายซีซั่น โดย 7 เกมสุดท้ายเขายิงไปมากถึง 13 ประตูเลยทีเดียว
นั่นทำให้ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ดึงตัวเขากลับมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ทันทีในฤดูกาลต่อมา และ เชชโก้ ก็เริ่มเป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 โดยฤดูกาลแรกกับ ซัลซ์บวร์ก แบบเต็มตัว เชชโก้ ในวัย 18 ปีลงสนามไปทั้งสิ้น 37 เกมรวมทุกรายการ ทำไป 11 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ ช่วยทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง ออสเตรีย บุนเดสลีกา และ ออสเตรียน คัพ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย
ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ทำให้ เชชโก้ ในวัย 19 ปีได้รับความสนใจจากหลายทีมใหญ่ในยุโรปทันที เขาถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของวงการในเวลานั้น นั่นทำให้ แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมดังของบุนเดสลีกา เยอรมนี ซึ่งถือว่าเป็นทีมอันดับหนึ่งของ เร้ด บูลล์ ฟุตบอลกรุ๊ป ไม่รอช้า รีบดึงตัว เชชโก้ มาอยู่กับทีมล่วงหน้าทันทีในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ด้วยสัญญายาว 5 ปี พร้อมกับจ่ายเงินให้ ซัลซ์บวร์ก 24 ล้านยูโร เป็นค่าตัวของกองหน้าดาวโรจน์รายนี้ เพื่อเป็นการกันท่าทีมอื่นๆ ที่จะมาดึงตัวเพชรเม็ดงามของพวกเขาไป นั่นทำให้ เชชโก้ จะอยู่กับ ซัลซ์บวร์ก ต่อไปอีก 1 ฤดูกาล และจะย้ายมาอยู่กับ ไลป์ซิก อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2023
จากนั้นในฤดูกาล 2022-23 เชชโก้ ก็ระเบิดฟอร์มออกมาได้ดีกว่าเดิม เมื่อจัดการทำไป 18 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 41 เกมในทุกรายการ และฤดูกาลนี้ก็จบลงด้วยการที่ ซัลซ์บวร์ก คว้าแชมป์ ออสเตรีย บุนเดสลีกา มาครองได้อีกครั้ง และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดออสเตรียสมัยที่ 3 ของ เชชโก้ ด้วย แม้ว่าในฤดูกาล 2020-21 เขาจะได้เล่นให้ทีมไปเพียงแค่นัดเดียวก็ตาม นั่นทำให้ เชชโก้ มีสถิติยิงไป 29 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ จาการลงสนาม 79 นัดให้ ซัลซ์บวร์ก ก่อนจะอำลาทีม และย้ายไปอยู่กับ แอร์เบ ไลป์ซิก
ในฤดูกาล 2023-24 แม้ว่าจะขยับมาเล่นในลีกที่ใหญ่กว่าอย่างบุนเดสลีกา เยอรมนี แต่ เชชโก้ ก็ไม่ได้ทำให้กองเชียร์ของ ไลป์ซิก ต้องผิดหวัง เมื่อจัดการระเบิดตาข่ายได้ในทันที ในเกมบุนเดสลีกาที่ ไลป์ซิก บุกไปถล่ม อูนิโอน เบอร์ลิน 3-0 ในวันที่ 3 กันยายน 2023 ทำให้ อูนิโอน เบอร์ลิน หยุดสถิติไม่แพ้ใครในบ้านไว้ที่ 24 เกมติดต่อกัน
จากนั้นในวันที่ 19 กันยายน เชชโก้ ก็ทำประตูแรกได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ไม่นับการลงเล่นในรอบคัดเลือก) หลัง ไลป์ซิก บุกไปถล่ม ยัง บอยส์ 3-1 ก่อนที่ฤดูกาลแรกในเยอรมนี เชชโก้ จะปิดซีซั่นด้วยการทำไป 18 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 เกมในทุกรายการ กลายเป็นผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงในบุนเดสลีกาได้ 7 เกมติดต่อกัน ในวัยเพียง 20 ปี กับอีก 353 วันเท่านั้น
ในช่วงหน้าร้อนปี 2024 เชชโก้ ได้รับความสนใจอย่างหนักจากหลายทีมใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะทีมดังในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง อาร์เซน่อล, เชลซี และ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวยังตัดสินใจที่จะเล่นกับ ไลป์ซิก ต่อไป ซึ่งในฤดูกาล 2024-25 หรือฤดูกาลล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปนั้น เชชโก้ ยังคงมีฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรง เมื่อทำไป 21 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 45 เกมในทุกรายการ
แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้ ไลป์ซิก คว้าแชมป์อะไรมาครองได้ และจบฤดูกาลเพียงอันดับที่ 7 ของบุนเดสลีกาเท่านั้น แต่ฟอร์มการเล่นส่วนตัวของ เชชโก้ ถือว่ายังคงน่าประทับใจ และยังคงได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรปเหมือนเช่นเคย และในครั้งนี้เป็น อาร์เซน่อล ที่ยังคงให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพร้อมที่จะคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้ในช่วงซัมเมอร์นี้
อย่างไรก็ตาม ไลป์ซิก ก็ไม่ต้องการจะเสียเพชรเม็ดงามของพวกเขาไปในราคาถูกๆ เช่นกัน โดยตั้งราคาไว้ในระหว่าง 80-100 ล้านยูโร ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก สำหรับกองหน้าวัย 22 ปีรายนี้ ที่มีสถิติยิงไป 39 ประตูกับ 8 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 87 เกมกับ ไลป์ซิก ตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ส่วนกับทีมชาติสโลวีเนียนั้น เชชโก้ ก็ยิงไปถึง 16 ประตูจาก 41 เกม ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ
นั่นทำให้ อาร์เซน่อล ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง เพราะเงินค่าตัวในระดับ 80-100 ล้านยูโรนั้นไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็ถือว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะ เชชโก้ เพิ่งจะอายุเพียง 22 ปี มีอายุการใช้งานได้แบบยาวๆ และยังสามารถขายต่อทำกำไรได้อีกด้วย หากว่านักเตะมีผลงานที่ดี ก็น่าจะขายได้ทะลุ 100 ล้านยูโรได้ไม่ยาก ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่พีคที่สุดของนักฟุตบอลอาชีพ
ต้องจับตาดูกันว่าในช่วงซัมเมอร์นี้ เชชโก้ จะยังคงได้เล่นกับ ไลป์ซิก ต่อไปหรือไม่ หรือจะได้ย้ายไปเฉิดฉายในพรีเมียร์ลีกกับ อาร์เซน่อล แต่เชื่อเหลือเกินว่า ไม่ว่าใครจะได้ตัวกองหน้ารายนี้ไปร่วมทีม ย่อมเป็นการเสริมทัพที่คุ้มค่าในระยะยาวอย่างแน่นอน...
- แมนฯ ยูไนเต็ด กับความยากลำบากตั้งแต่ช่วงปิดซีซั่น
- ส่องประวัติ 'อเลฮานโดร การ์นาโช่' ในวันที่ไม่อยากเป็น 'ปีศาจแดง'
- 'เวียร์ตซ์' ใกล้ย้ายซบหงส์ คาดตรวจร่างกายสัปดาห์หน้า
- 'เวียร์ตซ์' กระหึ่มอีก คว้านักเตะยอดเยี่ยมเมืองเบียร์ 2 ปีติด
- ส่องประวัติ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมัน
- 'อาโมริม' ขอโทษแฟนผีมีซีซั่นที่ย่ำแย่ แต่เชื่อมั่นปีศาจแดงจะกลับมาได้
- 'ชล็อต' พอใจฟอร์มลูกทีมนัดส่งท้าย ชี้หงส์เสริมทัพเต็มที่ซัมเมอร์นี้
