แคปซูลอวกาศ W-2 ลงจอดที่ออสเตรเลียพร้อมข้อมูลเทคโนโลยีความเร็วเหนือเสียง

แคปซูลอวกาศ W-2 ลงจอดที่ออสเตรเลียพร้อมข้อมูลเทคโนโลยีความเร็วเหนือเสียง

บริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ (Varda Space Industries) ประกาศความสำเร็จในการนำแคปซูลกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและลงจอดในประเทศออสเตรเลียเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นการปิดฉากภารกิจครั้งที่ 2 ของบริษัท ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยความเร็วเหนือเสียงทางทหารและระบบป้องกันความร้อนขององค์การนาซา (NASA)

แคปซูล W-2 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ มีเป้าหมายเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมขณะแคปซูลกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วสูง หลังจากโคจรในอวกาศเป็นเวลา 6 สัปดาห์ แคปซูลได้ลงจอดที่สนามทดสอบโคนิบบา (Koonibba Test Range) รัฐออสเตรเลียใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ในภูมิภาค

จุดเด่นของแคปซูลอวกาศรูปแบบนี้อยู่ตรงที่ทำให้ต้นทุนการวิจัยด้านอวกาศมีราคาถูกลงโดยใช้แคปซูลขนาดเล็ก แตกต่างจากรูปแบบเดิมที่การวิจัยบนอวกาศต้องส่งยานอวกาศที่เทคโนโลยีขั้นสูง และมีขนาดใหญ่ขึ้นไปโคจรรอบโลกเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลต่าง ๆ 

แคปซูล W-2 ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับพิเศษ OSPREE (Optical Sensing of Plasmas in the Reentry Environment) จากห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศสหรัฐฯ (AFRL) โดยนักวิจัยอัศวิน ราโอ (Ashwin Rao) นักวิจัยหลักของโครงการเปิดเผยว่า อุปกรณ์แคปซูลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพลาสมาแบบไดนามิกระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สามารถจำลองบนพื้นโลกได้

สรุปข่าว

Varda Space Industries ประสบความสำเร็จในการนำแคปซูล W-2 กลับสู่ชั้นบรรยากาศและลงจอดในออสเตรเลียเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ภารกิจนี้ให้ข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยความเร็วเหนือเสียงและระบบป้องกันความร้อนของ NASA และ AFRL ซึ่งช่วยพัฒนาเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ในอนาคต

บริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ (Varda Space Industries) ประกาศความสำเร็จในการนำแคปซูลกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและลงจอดในประเทศออสเตรเลียเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นการปิดฉากภารกิจครั้งที่ 2 ของบริษัท ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยความเร็วเหนือเสียงทางทหารและระบบป้องกันความร้อนขององค์การนาซา (NASA)

แคปซูล W-2 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ มีเป้าหมายเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมขณะแคปซูลกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วสูง หลังจากโคจรในอวกาศเป็นเวลา 6 สัปดาห์ แคปซูลได้ลงจอดที่สนามทดสอบโคนิบบา (Koonibba Test Range) รัฐออสเตรเลียใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ในภูมิภาค

จุดเด่นของแคปซูลอวกาศรูปแบบนี้อยู่ตรงที่ทำให้ต้นทุนการวิจัยด้านอวกาศมีราคาถูกลงโดยใช้แคปซูลขนาดเล็ก แตกต่างจากรูปแบบเดิมที่การวิจัยบนอวกาศต้องส่งยานอวกาศที่เทคโนโลยีขั้นสูง และมีขนาดใหญ่ขึ้นไปโคจรรอบโลกเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลต่าง ๆ 

แคปซูล W-2 ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับพิเศษ OSPREE (Optical Sensing of Plasmas in the Reentry Environment) จากห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศสหรัฐฯ (AFRL) โดยนักวิจัยอัศวิน ราโอ (Ashwin Rao) นักวิจัยหลักของโครงการเปิดเผยว่า อุปกรณ์แคปซูลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพลาสมาแบบไดนามิกระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่สามารถจำลองบนพื้นโลกได้

มุก ปันเดียน (Muk Pandian) ผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของบริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ (Varda Space Industries) กล่าวว่า "วิธีการทดสอบแบบเดิมไม่สามารถสร้างสภาวะที่รุนแรงได้เหมือนกับการเดินทางจริงในอวกาศ ภารกิจ W-2 ถือเป็นครั้งแรกที่สามารถวัดค่าการปล่อยแสงในสภาวะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่ความเร็วเกิน Mach 15 ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีความเร็วเหนือเสียง"

เอริน วอห์น (Erin Vaughan) หัวหน้าโครงการ AFRL กล่าวว่า "ความร่วมมือกับบริษัทอวกาศเชิงพาณิชย์อย่าง Varda ช่วยให้ AFRL สามารถดำเนินการทดสอบในสภาวะความเร็วเหนือเสียงจริงได้มากขึ้น" ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศและอากาศพลศาสตร์ในอนาคต

สำหรับแคปซูล W-2 น้ำหนัก 120 กิโลกรัม แคปซูลถูกติดต่อกับดาวเทียมโดยบริษัท Rocket Lab ซึ่งใช้แผ่นกันความร้อนที่พัฒนาร่วมกับศูนย์วิจัย Ames ขององค์การนาซา (NASA) ก่อนเดินทางขึ้นสู่อวกาศโดยจรวด Falcon 9 ของบริษัท SpaceX เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 จากฐานปล่อย SpaceX Transporter-12 ที่ฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย

การลงจอดของแคปซูล W-2 ถือเป็นครั้งแรกของยานอวกาศเชิงพาณิชย์ที่ลงจอดบนผืนแผ่นดินออสเตรเลีย ในขณะที่แคปซูล W-1 ซึ่งเป็นภารกิจแรกของ Varda ได้ลงจอดบนพื้นแผ่นดินประเทศสหรัฐอเมริกา ในบริเวณรัฐยูทาห์เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา

หลังการกู้คืน แคปซูล W-2 จะถูกนำไปประมวลผลที่โรงงานของ Southern Launch โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับพันธมิตรของบริษัท วาร์ดา สเปซ อินดัสทรีส์ (Varda Space Industries) ก่อนส่งกลับไปยังสำนักงานใหญ่ในลอสแองเจลิสเพื่อการศึกษาเชิงลึก ข้อมูลที่รวบรวมจากภารกิจนี้คาดว่าจะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันความร้อน ระบบเซ็นเซอร์ และการออกแบบอากาศพลศาสตร์สำหรับยานยนต์ความเร็วเหนือเสียงในอนาคต

ที่มาข้อมูล : Varda Space Industries

ที่มารูปภาพ : Varda Space Industries