เจนเซ่น หวงเยือนปักกิ่งท่ามกลางแรงกดดันการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

เจนเซ่น หวงเยือนปักกิ่งท่ามกลางแรงกดดันการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เอ็นวิเดีย (Nvidia) เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งโดยไม่แจ้งล่วงหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วันหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาออกข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูงไปยังประเทศจีน โดยเหลือเพียงรุ่นเดียวที่ยังได้รับอนุญาตให้จำหน่ายได้

การเยือนครั้งนี้มีขึ้นตามคำเชิญขององค์กรการค้าในจีน ตามรายงานจากบัญชีโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับสื่อของรัฐ และได้รับการยืนยันโดยสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ว่าเจนเซ่น หวงได้พบกับ เหริน หงปิน (Ren Hongbin) ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน พร้อมแสดงความตั้งใจที่จะสานต่อความร่วมมือกับจีน 

สำนักข่าวไชน่า เดลี่ (China Daily) เผยแพร่ภาพของเจนเซ่น หวงในกรุงปักกิ่ง โดยระบุว่า การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นราว 3 เดือนหลังจากที่เขาเคยให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับจีน พร้อมใช้แฮชแท็ก #OpportunityChina ซึ่งเคยใช้ในการส่งเสริมการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มาก่อน 

เป็นที่น่าสังเกตว่าการเดินทางของซีอีโอ Nvidia เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศควบคุมการส่งออกชิป GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลรุ่น H20 ซึ่งออกแบบมาให้สอดคล้องกับข้อจำกัดยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่ก็ยังถูกรวมอยู่ในการแบนล่าสุด ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ร่วงลงประมาณ 7% ในวันพุธที่ผ่านมา และบริษัทคาดว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 203,500 ล้านบาท 

สรุปข่าว

เจนเซ่น หวง ซีอีโอของบริษัท เอ็นวิเดีย (Nvidia) เดินทางเยือนปักกิ่งแบบไม่คาดคิด ท่ามกลางมาตรการควบคุมการส่งออกชิปจากสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

วันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา เจนเซ่น หวง (Jensen Huang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เอ็นวิเดีย (Nvidia) เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งโดยไม่แจ้งล่วงหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วันหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาออกข้อจำกัดใหม่ในการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูงไปยังประเทศจีน โดยเหลือเพียงรุ่นเดียวที่ยังได้รับอนุญาตให้จำหน่ายได้

การเยือนครั้งนี้มีขึ้นตามคำเชิญขององค์กรการค้าในจีน ตามรายงานจากบัญชีโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับสื่อของรัฐ และได้รับการยืนยันโดยสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ว่าเจนเซ่น หวงได้พบกับ เหริน หงปิน (Ren Hongbin) ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน พร้อมแสดงความตั้งใจที่จะสานต่อความร่วมมือกับจีน 

สำนักข่าวไชน่า เดลี่ (China Daily) เผยแพร่ภาพของเจนเซ่น หวงในกรุงปักกิ่ง โดยระบุว่า การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นราว 3 เดือนหลังจากที่เขาเคยให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับจีน พร้อมใช้แฮชแท็ก #OpportunityChina ซึ่งเคยใช้ในการส่งเสริมการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มาก่อน 

เป็นที่น่าสังเกตว่าการเดินทางของซีอีโอ Nvidia เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศควบคุมการส่งออกชิป GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลรุ่น H20 ซึ่งออกแบบมาให้สอดคล้องกับข้อจำกัดยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่ก็ยังถูกรวมอยู่ในการแบนล่าสุด ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ร่วงลงประมาณ 7% ในวันพุธที่ผ่านมา และบริษัทคาดว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 203,500 ล้านบาท 

นอกจากนี้มาตรการจำกัดการส่งออกชิปยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัท Nvidia เพิ่งประกาศแผนลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ AI ในสหรัฐฯ มูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 18,500,000 ล้านบาท ใน 4 ปีข้างหน้า โดยใช้บริการของบริษัทไต้หวันอย่าง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ในการผลิตชิป ทั้งนี้ รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าจะให้ข้อยกเว้นภาษีนำเข้าหากมีการลงทุนภายในประเทศ

ทางด้านของสื่อ Financial Times รายงานว่า เจนเซ่น หวงได้พบกับ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้งบริษัทปัญญาประดิษฐ์ AI ของจีนชื่อ DeepSeek เพื่อหารือเกี่ยวกับการออกแบบชิปรุ่นใหม่ที่สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ DeepSeek ได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกจากการเปิดตัวแชทบอท (Chatbot) ขั้นสูง แม้จะใช้เงินทุนจำกัด

ส่งผลให้คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือสอบถามไปยังบริษัท Nvidia ว่า DeepSeek ได้รับชิปที่ถูกควบคุมการส่งออกไปใช้กับปัญญาประดิษฐ์ AI ได้อย่างไร พร้อมระบุว่าแอปพลิเคชันของบริษัทจีนนี้ถือเป็น "ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ" 

อย่างไรก็ตาม เจนเซ่น หวง กล่าวก่อนหน้านี้ว่าบริษัท Nvidia ยังคงรักษาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายกับการผลักดันเทคโนโลยี AI พร้อมย้ำว่า “ไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ AI ได้” โดยการเยือนของเขาในครั้งนี้ได้จุดกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งในจีนและไต้หวัน  

สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่มีผลบังคับใช้อย่างกว้างขวางก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดและความกังวลในรัฐบาลประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ โดยทรัมป์กล่าวหาหลายประเทศว่า “เอาเปรียบ” สหรัฐฯ ด้านการค้า ล่าสุดเขาประกาศลดภาษีเหลือ 10% ชั่วคราว ยกเว้นจีนที่ยังอยู่ในอัตรา 145% พร้อมอ้างว่าหลายประเทศกำลังเร่งขอเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่