เอกชนแนะไทยเร่งแผนผลิตทักษะแรงงานขั้นสูง STEM สร้าง Local Champion ด้านเทคโนโลยี จูงใจเด็กรุ่นใหม่

เอกชนแนะไทยเร่งแผนผลิตทักษะแรงงานขั้นสูง STEM สร้าง Local Champion ด้านเทคโนโลยี จูงใจเด็กรุ่นใหม่

ในงานสัมมนา Transforming Thailand เวที TNN Original ซึ่งจัดโดยสถานีข่าว TNN 16 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และผู้ก่อตั้งบริษัท iAPP Technology ได้ให้ความเห็นในหลายประเด็น ภายใต้หัวข้อ "Future-Ready Tech Workforce : Thailand's STEM Evolution" พลิกโฉม STEM ไทย เตรียมแรงงานเทค รับมืออนาคต  

ความสำคัญของการพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูง STEM

ดร.กอบกฤตย์ ระบุว่า ปัจจุบันไทยกำลังขาดแคลนแรงงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก การพัฒนาแรงงานทักษะขั้นสูง STEM (Science วิทยาศาสตร์, Technology เทคโนโลยี, Engineering วิศวกรรมศาสตร์ และ Mathemmatics คณิตศาสตร์) ในเป็นประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น เพราะ STEM ถือเพื่อเป็นฐานรากในการประดิษฐ์ คิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างการแข่งขันกับเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่เข้ามาในไทย โดยต้องการให้เกิดค่านิยม "ไทยทำไทยใช้" เพราะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดระบบนิเวศเทคโนโลยีขึ้นมาได้ 

ความท้าทายในการสร้าง STEM ไทย

แม้ว่า STEM จะถูกพูดถึงมานานกว่าสิบปี แต่สิ่งสำคัญที่ ดร.กอบกฤตย์มองว่าประเทศไทยยังขาด ทำให้การสร้าง STEM ไม่ประสบความสำเร็จนั้นมีหลายอย่าง เช่น

  • ไทยยังไม่มี Local Champion การพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ STEM จากคนรุ่นใหม่  
  • Mind set หรือ ทัศนคติของคนในประเทศ ที่เป็นตัวการหลักทำให้ STEM ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ลองผิดลองถูกได้ 
  • ยังขาดการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) และแรงจูงใจในการสายงานด้าน STEM เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง หรือการให้สิทธิพิเศษเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานเฉพาะด้าน

สรุปข่าว

ดร.กอบกฤตย์ เสนอทางออกพลิกโฉม STEM ไทย เตรียมแรงงานไทยรับมืออนาคต พาประเทศหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการปรับแผนพัฒนา STEM ผ่าน 3 ทาง คือ ปรับวิธีคิด รีบ Re-skill เสริมทักษะ และสร้างระบบนิเวศในประเทศ

ในงานสัมมนา Transforming Thailand เวที TNN Original ซึ่งจัดโดยสถานีข่าว TNN 16 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และผู้ก่อตั้งบริษัท iAPP Technology ได้ให้ความเห็นในหลายประเด็น ภายใต้หัวข้อ "Future-Ready Tech Workforce : Thailand's STEM Evolution" พลิกโฉม STEM ไทย เตรียมแรงงานเทค รับมืออนาคต  

ความสำคัญของการพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูง STEM

ดร.กอบกฤตย์ ระบุว่า ปัจจุบันไทยกำลังขาดแคลนแรงงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก การพัฒนาแรงงานทักษะขั้นสูง STEM (Science วิทยาศาสตร์, Technology เทคโนโลยี, Engineering วิศวกรรมศาสตร์ และ Mathemmatics คณิตศาสตร์) ในเป็นประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น เพราะ STEM ถือเพื่อเป็นฐานรากในการประดิษฐ์ คิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างการแข่งขันกับเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่เข้ามาในไทย โดยต้องการให้เกิดค่านิยม "ไทยทำไทยใช้" เพราะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดระบบนิเวศเทคโนโลยีขึ้นมาได้ 

ความท้าทายในการสร้าง STEM ไทย

แม้ว่า STEM จะถูกพูดถึงมานานกว่าสิบปี แต่สิ่งสำคัญที่ ดร.กอบกฤตย์มองว่าประเทศไทยยังขาด ทำให้การสร้าง STEM ไม่ประสบความสำเร็จนั้นมีหลายอย่าง เช่น

  • ไทยยังไม่มี Local Champion การพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ STEM จากคนรุ่นใหม่  
  • Mind set หรือ ทัศนคติของคนในประเทศ ที่เป็นตัวการหลักทำให้ STEM ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ลองผิดลองถูกได้ 
  • ยังขาดการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) และแรงจูงใจในการสายงานด้าน STEM เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง หรือการให้สิทธิพิเศษเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานเฉพาะด้าน

แนวทางสร้าง STEM ในประเทศ

ขณะที่ทางออกเร่งด่วนสำหรับการสร้างแรงงาน STEM คุณภาพให้เกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย ดร.กอบกฤตย์เสนอใน 3 แนวทาง เพื่อให้ไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง 

1. ปรับเปลี่ยนวิธีคิด (Mind Set) ให้เด็กและประชาชนในประเทศ ให้เห็นคุณค่าและความสำคัญด้าน STEM เพื่อให้เป็นต้นน้ำของการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์

2. เร่ง Re-skill หรือส่งเสริมการให้ความรู้ด้านทักษะเทคโนโลยีในระดับประเทศ ผ่านวิธีการลงมือทำฝึกฝนด้วยตัวเอง (Learning by Doing)

3. รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างระบบนิเวศด้านปัญญาประดิษฐ์ของไทยให้เกิดขึ้นมา เพราะเมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว จำเป็นต้องมีงานรองรับเพื่อให้เกิดการทำจริง ทำให้ประเทศไทยหลุดจากรายได้ปานกลางได้ 

"ผมรู้สึกว่ามนุษย์เราจะสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างหรือทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง STEM ได้ มันต้องทำการลงมือปฏิบัติจริง อย่างผมโชคดีที่ได้เข้าถึงคอมพิวเตอร์และมีหนังสือตั้งให้อ่านตั้งแต่เด็ก ผมเลยมีพื้นที่ เวลาอยู่กับมันเพื่อที่จะเรียนรู้ลงมือทำเอง เด็กต้องมีเวลาได้ทำ ไม่ใช่ยัดเยียดเนื้อมากจนเกินไป ผมมองว่าตั้งแต่มัธยมต้นเราควรเริ่มโฟกัส Scope ความสนใจที่เด็กอยากเรียนรู้ ให้เวลาน้องเค้าในการทำมากกว่าที่จะมานั่งดูทฤษฎีที่น่าเบื่อ แล้วกลายเป็นเกลียด การทำเท่านั้นที่จะให้คนเก่งเรื่อง STEM ได้มากขึ้น 

สุดท้ายควรมีการทำ Project Base Reskilling เพราะว่าเรียนอย่างเดียวนั่งดูยูทบไปจนจบไม่ได้ลงมือทำก็ไม่เกิดผลผลิตอะไร เราควรที่จะมีกระบวนการที่เอาศาลาว่าการจังหวัด ที่ว่าการอำเภอให้นัดกันทุกอำเภอเลย ใครอยากจะมาเทรนโมเดล LLM เจอกันทุกวันเสาร์ ทุกอำเภอมีคนสอนหมดเลย ผมการันตีว่าทำแบบนี้ 1 ปี คนละเรื่องเลยประเทศไทย"

สร้าง STEM ได้แค่ไหนถึงเรียกว่าสำเร็จ ?

เมื่อถามถึงตัวชี้วัดความสำเร็จจากการสร้าง STEM ในประเทศไทย ดร.กอบกฤตย์ ระบุว่า สามารถดูได้จากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตขึ้น และตัวเลขขาดดุลของ Digital Services ลดลง

"ตอนนี้เศรษฐกิจไทย เรายึดโยงกับอุตสาหกรรมเก่ามากเกินไปจนทำให้ตลาดหุ้นเราก็ไปต่อไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยไป 3,000 จุดได้เป็นความฝันผม คือเราต้องทำพวกธุรกิจที่เป็น STEM เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้ เศรษฐกิจเราต้องดีขึ้น อีกอันที่ดูได้แล้วเป็นตัวหลักคือ ดุลการค้า Digital Services ที่ไทยเราขาดดุลปีนึง 2 แสนล้านบาท  มูลค่านี้ตัวเลขต้องลงให้ได้ เราต้องลดให้ได้ คนไทยต้องจ่าย AI Digital Services ให้กับคนไทยด้วยกันเองมากขึ้นกว่านี้"

ไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยี 

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะมีจุดอ่อนในการสร้างแรงงานด้าน STEM แต่ ดร.กอบกฤตย์ระบุว่ายังมีเรื่องให้ใจชื้น เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้เห็นทิศทาง STEM ประเทศไทยพัฒนาขึ้นมาก เช่น บริษัทปัญญาประดิษฐ์ หากมองเมื่อ 3 ปีก่อนมีจำนวน 50 บริษัท แต่ปัจจุบันมี 200 บริษัท รวมถึงมี AI หลายตัวที่ทำโดยคนไทยและแตกต่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เห็นว่าการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AIในประเทศไทยเริ่มเกิด และมองว่าเรากำลังที่จะมีโลคอลแชมเปี้ยน 

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN