
วันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA’s Space Weather Prediction Center) รายงานว่า ดวงอาทิตย์เกิดการปะทุครั้งใหญ่ที่สุดของปี โดยปลดปล่อย เปลวสุริยะระดับ X5.1 จากจุดดับสุริยะที่ถูกเรียกว่า AR4274 ซึ่งเป็นจุดที่หันหน้าเข้าหาโลกโดยตรง การปะทุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก หรือเวลา 17.00 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายนในประเทศไทย และได้สร้างผลกระทบต่อคลื่นวิทยุความถี่สูงทั่วแอฟริกาและยุโรป
ศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA’s Space Weather Prediction Center) รายงานว่า คลื่นรังสีเอกซ์และรังสีอัลตราไวโอเลตที่ปล่อยออกมาได้ทำให้ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ของโลกแตกตัว ส่งผลให้เกิด การดับของสัญญาณวิทยุ (Radio blackout) ระดับรุนแรง (R3) ในพื้นที่ที่รับแสงอาทิตย์โดยตรง
สรุปข่าว
วันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA’s Space Weather Prediction Center) รายงานว่า ดวงอาทิตย์เกิดการปะทุครั้งใหญ่ที่สุดของปี โดยปลดปล่อย เปลวสุริยะระดับ X5.1 จากจุดดับสุริยะที่ถูกเรียกว่า AR4274 ซึ่งเป็นจุดที่หันหน้าเข้าหาโลกโดยตรง การปะทุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก หรือเวลา 17.00 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายนในประเทศไทย และได้สร้างผลกระทบต่อคลื่นวิทยุความถี่สูงทั่วแอฟริกาและยุโรป
ศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA’s Space Weather Prediction Center) รายงานว่า คลื่นรังสีเอกซ์และรังสีอัลตราไวโอเลตที่ปล่อยออกมาได้ทำให้ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ของโลกแตกตัว ส่งผลให้เกิด การดับของสัญญาณวิทยุ (Radio blackout) ระดับรุนแรง (R3) ในพื้นที่ที่รับแสงอาทิตย์โดยตรง
ความรุนแรงของการปะทุระดับ X5.1 ถือว่าสูงสุดในรอบปี
นักดาราศาสตร์ระบุว่า การจัดระดับเปลวสุริยะ (Solar flare classification) แบ่งตามพลังงานออกเป็น 5 ชั้น ได้แก่ A, B, C, M และ X โดยแต่ละระดับมีพลังมากกว่าระดับก่อนหน้าราว 10 เท่า ในครั้งนี้ การปะทุระดับ X5.1 ถือว่าอยู่ในขั้นทรงพลังมาก และเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024
คลื่นพลังงานเหล่านี้เดินทางมาถึงโลกภายในเวลาไม่กี่นาที และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบสื่อสารทางวิทยุ รวมถึงระบบนำร่องอากาศยานในเส้นทางที่อยู่ด้านกลางวันของโลกหยุดชะงักชั่วคราว
AR4274 จุดดับสุริยะที่คึกคักที่สุดในวัฏจักรสุริยะที่ 25
ก่อนหน้านี้ จุดดับบนดวงอาทิตย์ AR4274 ได้แสดงพฤติกรรมรุนแรงต่อเนื่อง โดยเกิดการปะทุระดับ X1.7 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน และ X1.2 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ก่อนจะระเบิดอย่างหนักในวันที่ 11 พฤศจิกายน
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจุดดับนี้จะยังคงเป็นต้นตอของกิจกรรมสุริยะที่รุนแรงอีกหลายวัน เพราะอยู่ในตำแหน่งที่โลกสามารถรับผลกระทบโดยตรงได้มากที่สุด
ก้อนมวลโคโรนา (CME) กำลังพุ่งตรงสู่โลก
การปะทุระดับ X5.1 ในครั้งนี้มาพร้อมกับการปล่อยก้อนมวลสารจากชั้นโคโรนา (Coronal Mass Ejection หรือ CME) ที่มีความเร็วสูงถึง 4.4 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 7.08 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง
นักพยากรณ์จาก NOAA ระบุว่า CME ดังกล่าวกำลังพุ่งตรงมายังโลก และอาจชนเข้ากับสนามแม่เหล็กโลกในช่วง ค่ำคืนวันที่ 11 พ.ย. ถึงเช้ามืดวันที่ 12 พ.ย.
เตือนพายุแม่เหล็กโลกอาจรุนแรงถึงระดับ G5
เดิมที NOAA คาดว่าพายุแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ระดับ G3 (Strong Geomagnetic Storm) ซึ่งสามารถก่อให้เกิดแสงออโรราเหนือท้องฟ้าของประเทศในแถบละติจูดสูง เช่น แคนาดาและนอร์เวย์ แต่หลังจากตรวจพบ CME เพิ่มเติมจากการปะทุล่าสุด NOAA ได้ปรับคำเตือนขึ้น โดยคาดว่าระดับความรุนแรงอาจขยับขึ้นเป็น G4 (Severe) หรือแม้กระทั่ง G5 (Extreme) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในมาตราส่วน
พายุแม่เหล็กโลกในระดับ G5 สามารถส่งผลกระทบต่อโลกและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น ระบบไฟฟ้าแรงสูงเกิดการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า, ดาวเทียมและระบบ GPS ทำงานผิดปกติ, สัญญาณสื่อสารขัดข้อง และอาจเกิดแสงออโรราให้เห็นได้แม้ในพื้นที่เขตอบอุ่น เช่น สหรัฐฯ ตอนเหนือ หรือยุโรปตอนกลาง
สำหรับความรุนแรงระดับ G1-G5 นั้น GISTDA ประเทศไทยได้อธิบายเอาไว้อย่างน่าสนใจ ประกอบด้วย
G1 (Minor - เล็กน้อย) อาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อระบบไฟฟ้าในระดับสูง (ใกล้ขั้วโลก) หรืออาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนเล็กน้อยของดาวเทียม ทำให้สามารถเห็นแสงออโรรา (แสงเหนือ-แสงใต้) ได้ในละติจูดกลาง
G2 (Moderate - ปานกลาง) อาจต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว, อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของ ดาวเทียม (เช่น ระบบควบคุมทิศทาง) อาจเกิดสัญญาณรบกวน วิทยุคลื่นความถี่สูง (HF) ในละติจูดสูงได้ มองเห็นแสงออโรราลงมาถึงละติจูดต่ำลงได้
G3 (Strong - รุนแรง) อาจเกิดความผิดปรกติของแรงดันไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้า แต่ยังสามารถควบคุมได้, ดาวเทียมอาจเกิดการสะสมประจุที่ชิ้นส่วนและมีปัญหาในการควบคุมทิศทาง อาจมีปัญหาการกระจายสัญญาณ วิทยุความถี่ต่ำเป็นระยะ และอาจมีผลต่อความแม่นยำของสัญญาณ GNSS มองเห็นแสงออโรราลงไปถึงละติจูดแม่เหล็กที่ 50 องศา
สำหรับระดับที่รุนแรงกว่านี้ คือ
G4 (Severe - รุนแรงมาก) ระดับที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายในพื้นที่กว้างของระบบไฟฟ้า และมีปัญหาการสื่อสารกับดาวเทียมอย่างมาก
และ G5 (Extreme - รุนแรงที่สุด) เป็นระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบไฟฟ้าและเทคโนโลยีในเขตละติจูดสูง เหตุการณ์ที่รู้จักกันดีคือ Carrington Event ในปี ค.ศ. 1859

ภาพรวมของวัฏจักรสุริยะปี 2025
นักดาราศาสตร์คาดว่าวัฏจักรสุริยะที่ 25 (Solar Cycle 25) หรือ รอบการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมของดวงอาทิตย์ ครั้งที่ 25 นับตั้งแต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1755 กำลังเข้าสู่ช่วงพีคสุดของกิจกรรมแม่เหล็กในช่วงปลายปี 2025 ถึงต้นปี 2026
การปะทุของดวงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในจำนวนและความรุนแรง เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจกระทบต่อระบบสื่อสาร ดาวเทียม และโครงสร้างพื้นฐานที่พึ่งพาเทคโนโลยีในโลกสมัยใหม่
เปลวสุริยะระดับ X5.1 ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์สุริยะที่ทรงพลังที่สุดของปี แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการเข้าสู่ช่วง “ดวงอาทิตย์คึกคักที่สุด” ในรอบ 11 ปี นักวิทยาศาสตร์กำลังจับตาผลกระทบจากพายุแม่เหล็กโลกที่จะมาถึงคืนนี้ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุการณ์อวกาศที่รุนแรงที่สุดในทศวรรษนี้
- ยุโรปพัฒนาเครื่องบินอวกาศ "VORTEX" ก้าวสำคัญด้านอวกาศที่พลิกโฉมทั้งพลเรือนและทางการทหาร
- เลื่อนปล่อยภารกิจ Ax-4 หลังพบการรั่วของออกซิเจนเหลว (LOx) ขณะตรวจสอบระบบ
- เปิดตัว visionOS 26 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ยกระดับ Apple Vision Pro
- จีนเคลมยิงสัญญาณควอนตัม (Quantum Information Link) ไปแอฟริกาใต้ ทำสถิติไกลสุดในโลก 12,900 กม.
- CEO Samsung เสียชีวิตเรื่องใหญ่ที่ CEO คนถัดไปต้องรับศึกหนัก
ที่มารูปภาพ : NOAA Space Weather Prediction Center, GISTDA
