
ตลอดปี 2567 ถึงต้นปี 2568 สังคมไทยต้องเผชิญกับภาพของความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เด็กถูกทำร้ายในบ้าน วัยรุ่นยิงกันกลางห้าง ไปจนถึงปัญหายาเสพติดที่แพร่ลึกเข้าโรงเรียนและชุมชน วงจรเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแยกส่วน แต่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน และเริ่มกลายเป็น “ความปกติใหม่” ที่หลายคนไม่ทันได้ตั้งคำถาม
เมื่อศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่าในรอบปี 2567 มีประชาชนขอความช่วยเหลือมากถึง 188,625 กรณี โดยมากกว่าร้อยละ 90 ติดต่อผ่านสายด่วน 1300 หรือเฉลี่ยมากกว่า 500 สายต่อวัน และมีผู้ประสบเหตุความรุนแรงเฉลี่ยวันละ 42 ราย คำถามที่ตามมาคือ สังคมไทยอยู่กับความรุนแรงในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
สรุปข่าว
ตลอดปี 2567 ถึงต้นปี 2568 สังคมไทยต้องเผชิญกับภาพของความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เด็กถูกทำร้ายในบ้าน วัยรุ่นยิงกันกลางห้าง ไปจนถึงปัญหายาเสพติดที่แพร่ลึกเข้าโรงเรียนและชุมชน วงจรเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแยกส่วน แต่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน และเริ่มกลายเป็น “ความปกติใหม่” ที่หลายคนไม่ทันได้ตั้งคำถาม
เมื่อศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานว่าในรอบปี 2567 มีประชาชนขอความช่วยเหลือมากถึง 188,625 กรณี โดยมากกว่าร้อยละ 90 ติดต่อผ่านสายด่วน 1300 หรือเฉลี่ยมากกว่า 500 สายต่อวัน และมีผู้ประสบเหตุความรุนแรงเฉลี่ยวันละ 42 ราย คำถามที่ตามมาคือ สังคมไทยอยู่กับความรุนแรงในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
บ้านไม่ปลอดภัย ความรุนแรงในครอบครัวยังรุนแรงต่อเนื่อง
จากจำนวนผู้แจ้งเหตุความรุนแรง 4,712 ราย ศรส. พบว่ากว่า 71 เปอร์เซ็นต์เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว โดยผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มเด็กจำนวน 2,461 ราย รองลงมาคือผู้ใหญ่ 1,357 ราย ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่การทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ การกระทำอนาจาร ไปจนถึงการทอดทิ้ง และส่วนใหญ่กระทำโดยคนใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ หรือสามีของเหยื่อ
พื้นที่ที่มีการแจ้งเหตุสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ นนทบุรี ชลบุรี อุดรธานี และปทุมธานี สอดคล้องกับโครงสร้างของเมืองที่กำลังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำสูง และมีความซับซ้อนทางสังคมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ การเก็บข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เผยแพร่ในสื่อโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ยังพบว่าร้อยละ 26.1 ของเหตุการณ์มีสารเสพติดเกี่ยวข้อง และร้อยละ 29.1 มีแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น โดยร้อยละ 39.9 ของข่าวทั้งหมดเป็นการทำร้ายร่างกาย ร้อยละ 35.7 เป็นการฆาตกรรม และร้อยละ 19.6 นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
วงจรยาเสพติดทะลุหลังคา เด็ก 7 ขวบเสพยาบ้า
ข้อมูลจากการอภิปรายในวุฒิสภาช่วงต้นปี 2568 ระบุว่า พบเด็กอายุเพียง 7–8 ปี เริ่มใช้ยาบ้าแล้ว และมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กอนุบาล ซึ่งเป็นสัญญาณว่าปัญหายาเสพติดทะลุแนวป้องกันของครอบครัวและโรงเรียนไปเรียบร้อย
รายงานจากกรมราชทัณฑ์ ณ สิ้นปี 2567 ยืนยันว่า นักโทษคดียาเสพติดมีจำนวนมากถึง 280,000 ราย หรือคิดเป็นกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องขังทั้งหมด ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขจัดพิธีทำลายของกลางยาเสพติดในเดือนมิถุนายน 2567 น้ำหนักรวมกว่า 20 ตัน มูลค่ารวมประมาณ 6,456 ล้านบาท โดยร้อยละ 99 เป็นเมทแอมเฟตามีนในรูปยาบ้าและยาไอซ์
ช่วงปลายปีเดียวกัน ยังมีรายงานจากหน่วยความมั่นคงว่า สามารถสกัดจับยาบ้าล็อตใหญ่กว่า 202,000 เม็ดที่จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดล่อแหลมตามแนวชายแดนที่มักใช้ลักลอบขนยาเข้าประเทศ
ปัญหายาเสพติดจึงไม่เพียงเป็นภาระของฝ่ายปราบปราม แต่ยังแทรกซึมเข้าโครงสร้างครอบครัว ทำให้เด็กกลายเป็นทั้งเหยื่อและผู้เสพรุ่นใหม่ ขณะที่การเยียวยาจากรัฐยังไม่ครอบคลุม
รายวันไม่ใช่เรื่องเล็ก ความรุนแรงกระจายทุกระดับ
ในขณะที่บ้านควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย ความรุนแรงก็หลุดออกมาสู่พื้นที่สาธารณะเช่นกัน เหตุทะเลาะวิวาทบนท้องถนน การยกพวกตีกันของเยาวชน หรือการใช้อาวุธทำร้ายกันจากความขัดแย้งเล็กน้อย ล้วนกลายเป็นข่าวประจำวันที่สังคมไทยแทบไม่ตกใจอีกต่อไป
เหตุกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เด็กชายวัย 14 ปี ใช้อาวุธปืนยิงสุ่มกลางห้างจนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 4 ราย เหตุการณ์นี้นำไปสู่การตั้งคำถามถึงการเข้าถึงอาวุธปืน ปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก และเนื้อหาความรุนแรงในโลกออนไลน์ที่ไม่มีระบบกลั่นกรอง
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลเริ่มดำเนินการตรวจสอบสนามยิงปืนทั่วประเทศ และประกาศนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน ขณะเดียวกัน ก็เริ่มทบทวนกฎหมายควบคุมอาวุธให้รัดกุมยิ่งขึ้น
กฎหมายและระบบช่วยเหลือที่ยังไล่ไม่ทันปัญหา
แม้กระทรวง พม. จะเปิดสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มช่องทางผ่านแอปพลิเคชัน LINE ด้วยบริการ Family Line เพื่อให้คำปรึกษา แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา ยอมรับว่า กระทรวงยังไม่มีหน่วยบริการถาวรในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเข้าถึงประชาชน
ขณะเดียวกัน กฎหมายที่ใช้คุ้มครองผู้ถูกกระทำในครอบครัวอย่างพระราชบัญญัติป้องกันความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ยังคงถูกวิจารณ์ว่ามุ่งปรองดองระหว่างคู่กรณีมากกว่าการเยียวยาและลงโทษผู้กระทำอย่างเด็ดขาด
จากช่องว่างนี้ เครือข่ายภาคประชาชนจึงเริ่มรณรงค์รวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ โดยเน้นให้รัฐเอาผิดผู้กระทำความรุนแรงอย่างชัดเจน และให้ความคุ้มครองแก่เหยื่อในเชิงโครงสร้าง พร้อมๆ กับการผลักดันร่างแก้ไขจากกระทรวง พม. ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว
บทสรุปของปีที่ไม่ควรชินกับความรุนแรง
สถิติวันละ 42 ราย หรือ 1 คนทุก 34 นาที คือภาพรวมของปี 2567 ที่สังคมไทยเผชิญกับความรุนแรงจนแทบจะเคยชิน การแจ้งเหตุที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพราะปัญหาเพิ่งเกิด แต่เพราะคนเริ่มไม่ยอมรับ
สิ่งที่ต้องตามมาจากตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มหน่วยงานรับเรื่อง แต่คือการปฏิรูประบบทั้งในด้านกฎหมาย งบประมาณ และความเข้าใจของสังคม หากความรุนแรงเป็นโรค สังคมไทยกำลังป่วยหนัก และต้องการการรักษาแบบองค์รวมก่อนที่ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกในปีถัดไป
ที่มารูปภาพ : Freepik
บรรณาธิการออนไลน์