
สมุนไพรไทย “Herb of the Year” กับบทบาท Soft Power และต้นทุนระบบสุขภาพ
ในยุคที่ประเทศไทยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทรัพยากรจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ภาครัฐได้ผลักดัน “สมุนไพรไทย” ให้ก้าวข้ามบทบาทยาแผนทางเลือก ไปสู่การเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ และกลายเป็นเครื่องมือทาง Soft Power ที่มีอิทธิพลทั้งในระดับชาติและระดับสากล หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการยกให้สมุนไพรไทยบางชนิดเป็น “Herb of the Year” ซึ่งกำลังกลายเป็นเวทีทดสอบศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยบนเวทีโลก
รัฐหนุนสมุนไพรไทย สู่มูลค่าหลายพันล้าน
โครงการ “Herb of the Year” ของรัฐบาลปี 2025–2027 ได้เลือกขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเด่น พร้อมชูไพล กระชายดำ กระท่อม และกัญชา ขึ้นเป็นสมุนไพรส่งเสริมหลัก โดยไม่เพียงให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย แต่ยังเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และงานวิจัยอย่างเป็นระบบ จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยรองโฆษกรัฐบาล ระบุว่าเพียงปีเดียว สมุนไพรทั้ง 5 ชนิดสร้างมูลค่าได้ถึง 3,526 ล้านบาท
งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติที่เพิ่งจัดขึ้นยังสะท้อนผลลัพธ์เชิงประจักษ์ มีผู้เข้าร่วมกว่า 300,000 คน เงินสดสะพัดเกือบ 50 ล้านบาท และยังมีการจับคู่ธุรกิจถึง 219 คู่ คาดการณ์มูลค่าเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 198 ล้านบาท ความสำเร็จเหล่านี้ตอกย้ำว่า สมุนไพรไม่ใช่แค่ “ยาแผนโบราณ” แต่กำลังกลายเป็น “สินทรัพย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ การท่องเที่ยว และความมั่นคงทางสุขภาพ
สรุปข่าว
สมุนไพรไทย “Herb of the Year” กับบทบาท Soft Power และต้นทุนระบบสุขภาพ
ในยุคที่ประเทศไทยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยทรัพยากรจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ภาครัฐได้ผลักดัน “สมุนไพรไทย” ให้ก้าวข้ามบทบาทยาแผนทางเลือก ไปสู่การเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ และกลายเป็นเครื่องมือทาง Soft Power ที่มีอิทธิพลทั้งในระดับชาติและระดับสากล หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการยกให้สมุนไพรไทยบางชนิดเป็น “Herb of the Year” ซึ่งกำลังกลายเป็นเวทีทดสอบศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยบนเวทีโลก
รัฐหนุนสมุนไพรไทย สู่มูลค่าหลายพันล้าน
โครงการ “Herb of the Year” ของรัฐบาลปี 2025–2027 ได้เลือกขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเด่น พร้อมชูไพล กระชายดำ กระท่อม และกัญชา ขึ้นเป็นสมุนไพรส่งเสริมหลัก โดยไม่เพียงให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย แต่ยังเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และงานวิจัยอย่างเป็นระบบ จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยรองโฆษกรัฐบาล ระบุว่าเพียงปีเดียว สมุนไพรทั้ง 5 ชนิดสร้างมูลค่าได้ถึง 3,526 ล้านบาท
งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติที่เพิ่งจัดขึ้นยังสะท้อนผลลัพธ์เชิงประจักษ์ มีผู้เข้าร่วมกว่า 300,000 คน เงินสดสะพัดเกือบ 50 ล้านบาท และยังมีการจับคู่ธุรกิจถึง 219 คู่ คาดการณ์มูลค่าเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 198 ล้านบาท ความสำเร็จเหล่านี้ตอกย้ำว่า สมุนไพรไม่ใช่แค่ “ยาแผนโบราณ” แต่กำลังกลายเป็น “สินทรัพย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ การท่องเที่ยว และความมั่นคงทางสุขภาพ
สมุนไพรกับการสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรม
การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น Soft Power ไม่ได้เกิดจากมูลค่าเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เพราะสมุนไพรคือรากฐานของภูมิปัญญาไทย มีประวัติความเป็นมาในวิถีชีวิตและการรักษาแบบไทยมาแต่โบราณ รัฐบาลจึงเดินหน้าสร้าง “เมืองสมุนไพร” ใน 14 จังหวัด เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างชุมชน วิถีชีวิต และเศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกัน การแปรรูปสมุนไพรไทยให้กลายเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สปาก็ช่วยต่อยอดแบรนด์ไทยให้กลายเป็นที่รู้จักในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับประเทศที่มีอุตสาหกรรมสมุนไพรเข้มแข็ง เช่น จีน อินเดีย หรือเกาหลีใต้ ทำให้ไทยจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ การผลิต และมาตรฐานการรับรองให้เป็นสากล รวมถึงสนับสนุนการวิจัยเชิงลึก เพื่อให้สมุนไพรไทยไม่ได้เป็นแค่ “ภูมิปัญญา” แต่เป็น “องค์ความรู้” ที่มีฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
ต้นทุนระบบสุขภาพไทยที่สมุนไพรอาจช่วยแบ่งเบา
แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และสามารถดูแลประชากรส่วนใหญ่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือเสียในอัตราที่ต่ำมาก แต่ในเชิงโครงสร้างแล้ว ระบบสุขภาพของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญทั้งในด้านงบประมาณ การเข้าถึงบริการ และภาระค่าใช้จ่ายที่ยังตกอยู่กับครัวเรือนจำนวนไม่น้อย
ในปีล่าสุด รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพคิดเป็นประมาณ 4.36% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลางถึงสูงที่อยู่ระหว่าง 9–10% ของ GDP งบประมาณที่จัดสรรนี้ครอบคลุมทั้งด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการบริหารจัดการระบบสุขภาพในภาพรวม เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ จะเห็นว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างในการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบบริการสุขภาพให้ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากรอย่างแท้จริง
ข้อมูลจาก รายงานของธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในปี 2019 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเฉลี่ยต่อหัวของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 296–311 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9,500–10,000 บาทต่อคนต่อปี ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน โดยตัวเลขนี้รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริการด้านสุขภาพอื่น ๆ
เมื่อมองลึกลงไปในระดับปัจเจก ผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ 300–800 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและยาที่ได้รับ ส่วนผู้ป่วยในที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถรับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือมีภาระเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นอย่างมาก โดยผู้ป่วยนอกมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,200–2,500 บาทต่อครั้ง และหากต้องนอนพักรักษาตัว ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ ประมาณ 20,000–30,000 บาทต่อคืน ซึ่งอาจสูงขึ้นตามลักษณะการรักษาและสถานที่ตั้งของโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นถึง 14.2% ในปี 2025 โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนด้านการแพทย์ที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่ายา อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือค่าแรงของบุคลากร แนวโน้มนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลกที่ระบบบริการสุขภาพกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้รัฐจะดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนยังคงต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นค่ายาพิเศษ การรักษาในโรงพยาบาลเอกชน หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล ทำให้ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
เมื่อพิจารณาในภาพรวม จะเห็นว่าระบบบริการสุขภาพของไทยยังมีข้อจำกัดทั้งในเชิงงบประมาณและการกระจายบริการ หากสามารถส่งเสริมให้ สมุนไพรไทยกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของการดูแลสุขภาพเบื้องต้น โดยเฉพาะในระดับชุมชน ก็อาจช่วยลดความหนาแน่นของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ลดการพึ่งพายานำเข้า และเพิ่มโอกาสในการดูแลตนเองของประชาชนในพื้นที่ที่เข้าถึงบริการได้ยาก
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อให้สามารถ รับรองสมุนไพรบางชนิดให้ใช้ในสถานพยาบาลอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกเวชกรรมแผนไทย หรือศูนย์สุขภาพชุมชน ก็จะช่วยยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทเชิงระบบในบริการสุขภาพ ไม่ใช่เพียงสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้น
ข้อเสนอเพื่อให้สมุนไพรเป็น Soft Power อย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาจากบริบททั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และระบบสุขภาพ จะเห็นได้ว่าศักยภาพของสมุนไพรไทยมีอยู่จริง เพียงแต่จะไปถึงเป้าหมาย “Soft Power” ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ โดยเฉพาะความต่อเนื่องของนโยบาย การสร้างระบบรับรองที่น่าเชื่อถือ และการพัฒนาบุคลากรเชิงวิชาการ
รัฐควรเร่งสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและเชิงพาณิชย์ไปพร้อมกัน ยกระดับห้องปฏิบัติการ การผลิต GMP และผลักดันการรับรองในระดับสากล ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าการพัฒนาเพื่อส่งออก ต้องไม่กลบความสำคัญของระบบบริการสุขภาพภายในประเทศ เพราะสมุนไพรคือรากของการดูแลตนเอง และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันกับภูมิปัญญาโบราณ
หากรัฐเดินหน้าบนฐานวิชาการ วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ และศักยภาพชุมชน สมุนไพรไทยจะไม่เพียงเป็นสินค้าทางเลือก แต่จะกลายเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพไทยในศตวรรษใหม่
- หนุน ไพล กระชายดำ กระท่อม เป็น Herb of the year สร้างรายได้และส่งออกต่างประเทศ
- "สมศักดิ์" เคาะ "ไพล-กระชายดำ-กระท่อม" Herb of the Year สร้างเศรษฐกิจไทย
- "สมุนไพรไทย"ดังข้ามทวีปส่ง"ผลิตภัณฑ์ภูไพร"ขายถึงรัสเซีย | เรื่องดีดีทั่วไทย | 28-05-68
- 7 ยาสมุนไพร ที่ควรมีติดบ้าน พิชิตโรคยอดฮิตช่วงฤดูร้อน
- ส.อ.ท.จับมือกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพไทย
- "สมศักดิ์" ลดนำเข้ายาต่างประเทศ ตั้งเป้าปี 69 สปสช. ใช้ "สมุนไพรไทย" 3,000 ล้านบาท
- ไทยรุกตลาดอาหรับ ดัน"นวดไทย-ผลิตภัณฑ์สมุนไพร" มาตรฐานฮาลาล นำร่องที่ซาอุฯ ช่วงพิธีฮัจย์ปีนี้
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง
ที่มารูปภาพ : Freepik
บรรณาธิการออนไลน์
