
ภาพรวมเจ้าพระยา ยังไหลนิ่งในกรอบควบคุม
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยมีปริมาณการไหลผ่านที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์อยู่ที่ 1,161 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และที่เขื่อนเจ้าพระยา (สถานี C.13) จังหวัดชัยนาทอยู่ที่ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครสามารถรองรับได้ถึง 2,500–3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่ายังมีระยะห่างจากจุดเตือนภัยมากพอสมควร ขณะที่ระดับน้ำที่ปากคลองตลาดต่ำกว่าระดับแจ้งเตือนถึง 2.75 เมตร ทำให้โอกาสเกิดน้ำท่วมจากแม่น้ำสายหลักยังต่ำในช่วงเวลานี้
คลื่นทะเลหนุน กดดันชุมชนลุ่มต่ำ
แม้ระดับน้ำเหนือจะไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้ แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือภาวะน้ำทะเลหนุนสูง โดยกรมชลประทานได้แจ้งเตือนว่าในช่วงเวลา 18.00–21.00 น. ของวันที่ 7–13 สิงหาคมนี้ อาจมีน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นถึง 1.7–2.0 เมตร โดยเฉพาะในพื้นที่เขตป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอาจเกินระดับวิกฤติประมาณ 30 เซนติเมตร
พื้นที่ลุ่มต่ำและชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำถาวรใน 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเป็นพิเศษในช่วงเวลาดังกล่าว
สรุปข่าว
ภาพรวมเจ้าพระยา ยังไหลนิ่งในกรอบควบคุม
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยมีปริมาณการไหลผ่านที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์อยู่ที่ 1,161 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และที่เขื่อนเจ้าพระยา (สถานี C.13) จังหวัดชัยนาทอยู่ที่ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครสามารถรองรับได้ถึง 2,500–3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่ายังมีระยะห่างจากจุดเตือนภัยมากพอสมควร ขณะที่ระดับน้ำที่ปากคลองตลาดต่ำกว่าระดับแจ้งเตือนถึง 2.75 เมตร ทำให้โอกาสเกิดน้ำท่วมจากแม่น้ำสายหลักยังต่ำในช่วงเวลานี้
คลื่นทะเลหนุน กดดันชุมชนลุ่มต่ำ
แม้ระดับน้ำเหนือจะไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้ แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือภาวะน้ำทะเลหนุนสูง โดยกรมชลประทานได้แจ้งเตือนว่าในช่วงเวลา 18.00–21.00 น. ของวันที่ 7–13 สิงหาคมนี้ อาจมีน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นถึง 1.7–2.0 เมตร โดยเฉพาะในพื้นที่เขตป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอาจเกินระดับวิกฤติประมาณ 30 เซนติเมตร
พื้นที่ลุ่มต่ำและชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำถาวรใน 6 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเป็นพิเศษในช่วงเวลาดังกล่าว
เขื่อนหลักยังมั่นคง น้ำยังไม่ล้นอ่าง
ข้อมูลจากสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติระบุว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 52,398 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 65% ของความจุอ่าง โดยมีปริมาณน้ำที่ใช้การได้อยู่ที่ราว 28,279 ล้านลูกบาศก์เมตร (49%)
สำหรับเขื่อนหลักในภาคเหนือ เช่น เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ยังคงมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกมาก โดยมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 38% และ 44% ตามลำดับ ส่วนเขื่อนในภาคกลางอย่างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนกระเสียว มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 13% และ 27% ตามลำดับ ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับปลอดภัย และไม่มีเขื่อนใดที่ต้องเร่งระบายน้ำในระดับผิดปกติ
น้ำเหนือยังไม่ลง แต่ฝนใต้และอีสานเริ่มกระหน่ำ
ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แม้ปริมาณน้ำจากภาคเหนือจะยังไม่ไหลลงมาถึงในระดับที่ต้องกังวล แต่การพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ช่วงวันที่ 8–9 สิงหาคม จะมีฝนตกหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันเฉพาะจุดในพื้นที่ที่เคยเกิดอุทกภัยซ้ำซาก เช่น แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก และเชียงราย
แม่น้ำสายหลักอย่างเจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมระดับการไหลผ่านได้ แต่ในระดับชุมชนและพื้นที่รับน้ำจำเป็นต้องมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด
คันกั้นน้ำเมืองหลวง เสริมหลังบทเรียนปี 54
นับตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการเสริมคันกั้นน้ำตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นประมาณ 20–50 เซนติเมตร ทำให้ระบบป้องกันน้ำในเมืองหลวงมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำเอ่อล้นจากแม่น้ำสู่ถนนหรือชุมชนชั้นใน
ระบบระบายน้ำในพื้นที่เขตเมืองยังคงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากฝนตกหนักเฉพาะจุด อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ เช่น ชุมชนริมแม่น้ำในบางเขตของธนบุรีและปทุมวัน ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงค่ำของแต่ละวันจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม
สถานการณ์ยังมั่นคง แต่ไม่ควรประมาท
ภาพรวมของสถานการณ์น้ำในวันที่ 7 สิงหาคมยังไม่มีสัญญาณของวิกฤตจากน้ำท่วมหรือเขื่อนล้นอ่าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของปริมาณฝนในบางพื้นที่ และภาวะน้ำทะเลหนุนที่ยังคงเป็นความเสี่ยงในเวลาเย็นถึงค่ำ ควรได้รับการเฝ้าระวังจากภาครัฐและภาคประชาชนอย่างไม่ประมาท
ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำ และบริเวณชายฝั่งทะเลในเขตที่ได้รับแจ้งเตือน ควรติดตามข้อมูลจากเทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า
- เปลี่ยนขยะเป็นสิ่งของใช้ใหม่ ผ่านแนวคิด Circular Economy
- ฝนถล่ม “แม่ฮ่องสอน” น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร
- “รองนายกฯ” สั่งทุกหน่วยรับมือน้ำทะเลหนุน 7–13 ส.ค. ยัน กทม. ปลอดภัย
- วิกฤต “มาดากัสการ์” อาจจมหายทั้งเกาะ หากไม่เร่งป้องกัน
- “อินเดีย” เจอฝนระเบิด น้ำป่ากวาดเมืองพังยับ เสียชีวิตแล้ว 4 สูญหายนับร้อย
- “ฮ่องกง” เตือนภัยสูงสุด ฝนถล่ม-น้ำท่วมหนัก ฟ้าผ่านับหมื่นครั้งภายใน 1 ชั่วโมง
- โลกใกล้แตะ 1.5 องศาฯ จุดเปลี่ยนสู่หายนะ แม้เดินถูกทาง แต่ยัง “ช้าเกินไป”
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : ผู้สื่อข่าว จ.ชัยนาท
บรรณาธิการออนไลน์
