4 เดือนแห่งความหวัง กางโรดแมป ‘ศุภจี’ เร่งเครื่อง 3 แกนหลักขับเคลื่อนพาณิชย์

4 เดือนแห่งความหวัง กางโรดแมป ‘ศุภจี’ เร่งเครื่อง 3 แกนหลักขับเคลื่อนพาณิชย์

นโยบายเศรษฐกิจยุคศุภจี สุธรรมพันธุ์ กับภารกิจ 4 เดือนของกระทรวงพาณิชย์

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจไทย หลังผ่านประสบการณ์ผู้บริหารระดับสูงทั้งในองค์กรเทคโนโลยีและธุรกิจโรงแรมระดับโลก เส้นทางอาชีพที่โดดเด่นทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบสำหรับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน

การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้แสดงถึงความพร้อมในการนำประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษจากภาคเอกชนมาประยุกต์ใช้กับนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศ การเจรจาภาษี และการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก

ศุภจีประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่า ประเทศไทยไม่สามารถหยุดนิ่งได้ในภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง และแม้รัฐบาลชุดนี้จะมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ก็พร้อมผลักดันมาตรการที่จับต้องได้จริง ทั้งการลดค่าครองชีพ การกระตุ้นการใช้จ่าย และการเปิดตลาดการค้าใหม่ เพื่อวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง 

โดยเป้าหมายเหล่านี้ถูกแปลงเป็นนโยบายในเชิงโครงสร้างผ่านทีมเศรษฐกิจที่กำหนด 3 แกนหลัก ได้แก่ 

  1. การลดภาระค่าครองชีพจากพลังงานและการเดินทาง 
  2. การแก้หนี้และเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย 
  3. การสร้างรายได้ฐานรากผ่านการท่องเที่ยว ชุมชน และเทคโนโลยีดิจิทัล 

ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งการบรรเทาผลกระทบระยะสั้นและการวางรากฐานเพื่ออนาคต


คนละครึ่ง 25,000 ล้าน มาตรการเร่งด่วนฟื้นกำลังซื้อปลายปี

หนึ่งในมาตรการที่ถูกจับตามองคือการฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” วงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยแนวคิดหลักคือใช้ระบบและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เงินหมุนเวียนไปถึงร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง

ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือที่พรรคภูมิใจไทย โดยศุภจีระบุว่า แม้เวลาทำงานของรัฐบาลจะสั้นเพียง 4 เดือน แต่ตั้งใจจะนำประสบการณ์ที่สั่งสมจากภาคเอกชนและงานระดับนานาชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่นายเอกนิติย้ำว่า โครงการคนละครึ่งเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีประกาศแล้ว และกระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อมไว้ในระดับหนึ่ง รอเพียงขั้นตอนโปรดเกล้าฯ ก่อนดำเนินการอย่างเป็นทางการ


สรุปข่าว

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลา 4 เดือน ผ่านนโยบาย 3 แกนหลักและโครงการคนละครึ่ง 25,000 ล้าน ควบคู่กับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อคุ้มครองรายได้ ประคองผู้ประกอบการ และเปิดโอกาสใหม่บนเวทีโลก

นโยบายเศรษฐกิจยุคศุภจี สุธรรมพันธุ์ กับภารกิจ 4 เดือนของกระทรวงพาณิชย์

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจไทย หลังผ่านประสบการณ์ผู้บริหารระดับสูงทั้งในองค์กรเทคโนโลยีและธุรกิจโรงแรมระดับโลก เส้นทางอาชีพที่โดดเด่นทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติครบสำหรับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน

การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้แสดงถึงความพร้อมในการนำประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษจากภาคเอกชนมาประยุกต์ใช้กับนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศ การเจรจาภาษี และการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก

ศุภจีประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่า ประเทศไทยไม่สามารถหยุดนิ่งได้ในภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง และแม้รัฐบาลชุดนี้จะมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ก็พร้อมผลักดันมาตรการที่จับต้องได้จริง ทั้งการลดค่าครองชีพ การกระตุ้นการใช้จ่าย และการเปิดตลาดการค้าใหม่ เพื่อวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง 

โดยเป้าหมายเหล่านี้ถูกแปลงเป็นนโยบายในเชิงโครงสร้างผ่านทีมเศรษฐกิจที่กำหนด 3 แกนหลัก ได้แก่ 

  1. การลดภาระค่าครองชีพจากพลังงานและการเดินทาง 
  2. การแก้หนี้และเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย 
  3. การสร้างรายได้ฐานรากผ่านการท่องเที่ยว ชุมชน และเทคโนโลยีดิจิทัล 

ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งการบรรเทาผลกระทบระยะสั้นและการวางรากฐานเพื่ออนาคต


คนละครึ่ง 25,000 ล้าน มาตรการเร่งด่วนฟื้นกำลังซื้อปลายปี

หนึ่งในมาตรการที่ถูกจับตามองคือการฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” วงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยแนวคิดหลักคือใช้ระบบและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เงินหมุนเวียนไปถึงร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง

ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือที่พรรคภูมิใจไทย โดยศุภจีระบุว่า แม้เวลาทำงานของรัฐบาลจะสั้นเพียง 4 เดือน แต่ตั้งใจจะนำประสบการณ์ที่สั่งสมจากภาคเอกชนและงานระดับนานาชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่นายเอกนิติย้ำว่า โครงการคนละครึ่งเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีประกาศแล้ว และกระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อมไว้ในระดับหนึ่ง รอเพียงขั้นตอนโปรดเกล้าฯ ก่อนดำเนินการอย่างเป็นทางการ


ศุภจี สุธรรมพันธุ์ กับภารกิจผลักดันการค้าไทยบนเวทีโลก

นอกจากนโยบายในประเทศ ศุภจียังถูกคาดหวังให้เป็นกำลังสำคัญบนเวทีการค้าโลก การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาและการเดินหน้าข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องอาศัยทักษะการเจรจาระหว่างประเทศ ศุภจีเคยทำงานในองค์กรที่ต้องบริหารความสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรมและตลาดระดับโลก ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพให้ศุภจีสามารถต่อรองและเปิดประตูใหม่ให้กับการส่งออกของไทยได้ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก

แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2568 จะเติบโต 3.1% แต่การคาดการณ์ทั้งปีถูกปรับลดลงเหลือไม่ถึง 2% ศุภจีมองโจทย์นี้เป็นโอกาสมากกว่าข้อจำกัด ศุภจีเน้นการทำงานร่วมกับข้าราชการและทีมเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี เพื่อเลือกประเด็นที่ส่งผลต่อรายได้ประชาชนมากที่สุดขึ้นมาขับเคลื่อนก่อน สร้างความเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นจะถูกต่อยอดเป็นฐานสำหรับรัฐบาลชุดถัดไป

ศรัทธาจากเอกชนกับภารกิจ 4 เดือนที่อาจเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

ความมั่นใจของภาคเอกชนสะท้อนจากเสียงสนับสนุนที่เห็นว่าการดึงผู้บริหารจากภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาท จะช่วยให้การตัดสินใจเชิงนโยบายมีความเป็นมืออาชีพและตอบโจทย์ได้จริง ศุภจีเองยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องครบถ้วน แต่ต้องทำเต็ม 100% กับสิ่งที่มีความรู้และใช้ทีมงานเป็นพลังขับเคลื่อน


แม้กรอบเวลาเพียง 4 เดือนจะถูกมองว่าสั้นเกินไปสำหรับการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย แต่ศุภจีมองว่าคือจังหวะสำคัญในการวางหมุดหมายทางเศรษฐกิจใหม่ กระทรวงพาณิชย์จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นกลไกหลักในการคุ้มครองรายได้ของประชาชน ดูแลค่าครองชีพ ประคองผู้ประกอบการรายย่อยที่กำลังเผชิญต้นทุนสูง และขณะเดียวกันยังต้องเปิดเกมรุกบนเวทีการค้าโลกเพื่อให้สินค้าไทยมีพื้นที่ยืนที่มั่นคงมากขึ้น หากทุกขั้นตอนดำเนินไปตามโรดแมปที่วางไว้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนนี้อาจกลายเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สร้างแรงส่งเชิงบวกให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจในระยะยาว

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Suphajee Suthumpun

บรรณาธิการออนไลน์