
ยามเกิดโศกนาฏกรรม การตอบสนองของแต่ละประเทศ สามารถเผยให้เราเห็นถึงมุมมองการเมือง และสังคมของประเทศนั้นได้
ที่ผ่านมา เมื่อประเทศเผชิญกับเรื่องน่าเศร้า ผู้คนต่างเห็นใจกัน ผนึกความเป็นหนึ่งเดียว ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน แต่เหตุการณ์ลอบสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางในสังคม
วาทกรรมทางการเมืองกำลังฉีกสังคมอเมริกา ให้ขาดความสามัคคีและความเห็นอกเห็นใจต่อกัน
การรับมือโศกนาฏกรรมของอเมริกาในอดีต
ก่อนที่อเมริกาจะเดินมาถึงจุดนี้ ในอดีต เมื่อสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เช่น การก่อวินาศกรรม 9/11, เหตุกราดยิงโบสถ์ที่ชาร์ลสตัน เมื่อปี 2015 หรือแม้กระทั่งเหตุลอบสังหาร แกบบี้ กิฟฟอร์ดส สส.พรรคเดโมแครต เมื่อปี 2011
ผู้คนในสังคมมักจะไม่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการด่วนสรุปตัดสินใจ แปะป้ายว่าเป็นความผิดใครในทันที น้อยครั้งนัก ที่จะเอาเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีการแบ่งขั้วทางการเมือง
พวกเขาเลือกที่จะตอบสนองด้วยความสงบ, ความเห็นอกเห็นใจ, เน้นการเยียวยา และร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ไปด้วยกัน แม้ว่าช่วงนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญกับกระแสความหวาดหวั่นจากคนบางกลุ่มก็ตาม
ผู้นำมีส่วน ชี้นำสังคม
แต่ความสามัคคีเหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้นำของพวกเขาในช่วงเวลานั้น ไม่มีส่วน คอยช่วยชี้แนะแนวทางให้ประชาชน ไปในทิศทางนั้น
ยกตัวอย่างเช่น หลังเกิดเหตุ 9/11 ไม่นาน ก็มีแนวโน้มปลุกกระแสความเกลียดชัง และหวาดกลัวชาวมุสลิม และอิหร่านทันที ผลสำรวจช่วงเวลานั้น แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันประมาณ 58% โทษผู้นำมุสลิมสายกลางว่า ไม่ทำอะไรมากกว่านี้ เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย เกือบครึ่งหนึ่งสนับสนุนให้ชาวอาหรับพกบัตรประจำตัวพิเศษ สะท้อนให้ถึงความหวาดกลัวต่อศาสนาอิสลามในสังคมอเมริกาอย่างมาก
แต่ 6 วันหลังจากการโจมตี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น ได้กล่าวสุนทรพจน์ เพื่อหยุดยั้งความเกลียดชังที่มีต่อชาวมุสลิม
“อิสลามคือ ความสงบ...ใบหน้าแห่งความหวาดกลัว ไม่ใช่ศรัทธาที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม” และการข่มขู่ชาวมุสลิมจะไม่เกิดขึ้นได้ในอเมริกา” บุช กล่าว
ผลจากสุนทรพจน์ดังกล่าว ส่งผลให้ความเกลียดชังต่อมุสลิมลดลงอย่างชัดเจน ผลสำรวจสำนักข่าว ABC แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกัน มีความสงสัยต่อชาวอาหรับลดลง จากเดิมคือ 43% หลังเกิดเหตุ 9/11 ไม่นาน เหลือเป็น 31% ในเดือนธันวาคม
เช่นเดียวกันกับเหตุกราดยิงคนผิวดำ โบสถ์ทีชาร์ลสตัน บารัค โอบามา เลือกจะพูดถึงการให้อภัย และความสามัคคี แทนการเหยียดเชื้อชาติ และสร้างความเกลียดชัง เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การถอดธงสมาพันธรัฐ สัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติ ออกจากอาคารรัฐสภา
สรุปข่าว
ยามเกิดโศกนาฏกรรม การตอบสนองของแต่ละประเทศ สามารถเผยให้เราเห็นถึงมุมมองการเมือง และสังคมของประเทศนั้นได้
ที่ผ่านมา เมื่อประเทศเผชิญกับเรื่องน่าเศร้า ผู้คนต่างเห็นใจกัน ผนึกความเป็นหนึ่งเดียว ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน แต่เหตุการณ์ลอบสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางในสังคม
วาทกรรมทางการเมืองกำลังฉีกสังคมอเมริกา ให้ขาดความสามัคคีและความเห็นอกเห็นใจต่อกัน
การรับมือโศกนาฏกรรมของอเมริกาในอดีต
ก่อนที่อเมริกาจะเดินมาถึงจุดนี้ ในอดีต เมื่อสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เช่น การก่อวินาศกรรม 9/11, เหตุกราดยิงโบสถ์ที่ชาร์ลสตัน เมื่อปี 2015 หรือแม้กระทั่งเหตุลอบสังหาร แกบบี้ กิฟฟอร์ดส สส.พรรคเดโมแครต เมื่อปี 2011
ผู้คนในสังคมมักจะไม่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการด่วนสรุปตัดสินใจ แปะป้ายว่าเป็นความผิดใครในทันที น้อยครั้งนัก ที่จะเอาเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีการแบ่งขั้วทางการเมือง
พวกเขาเลือกที่จะตอบสนองด้วยความสงบ, ความเห็นอกเห็นใจ, เน้นการเยียวยา และร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ไปด้วยกัน แม้ว่าช่วงนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญกับกระแสความหวาดหวั่นจากคนบางกลุ่มก็ตาม
ผู้นำมีส่วน ชี้นำสังคม
แต่ความสามัคคีเหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้นำของพวกเขาในช่วงเวลานั้น ไม่มีส่วน คอยช่วยชี้แนะแนวทางให้ประชาชน ไปในทิศทางนั้น
ยกตัวอย่างเช่น หลังเกิดเหตุ 9/11 ไม่นาน ก็มีแนวโน้มปลุกกระแสความเกลียดชัง และหวาดกลัวชาวมุสลิม และอิหร่านทันที ผลสำรวจช่วงเวลานั้น แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันประมาณ 58% โทษผู้นำมุสลิมสายกลางว่า ไม่ทำอะไรมากกว่านี้ เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย เกือบครึ่งหนึ่งสนับสนุนให้ชาวอาหรับพกบัตรประจำตัวพิเศษ สะท้อนให้ถึงความหวาดกลัวต่อศาสนาอิสลามในสังคมอเมริกาอย่างมาก
แต่ 6 วันหลังจากการโจมตี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น ได้กล่าวสุนทรพจน์ เพื่อหยุดยั้งความเกลียดชังที่มีต่อชาวมุสลิม
“อิสลามคือ ความสงบ...ใบหน้าแห่งความหวาดกลัว ไม่ใช่ศรัทธาที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม” และการข่มขู่ชาวมุสลิมจะไม่เกิดขึ้นได้ในอเมริกา” บุช กล่าว
ผลจากสุนทรพจน์ดังกล่าว ส่งผลให้ความเกลียดชังต่อมุสลิมลดลงอย่างชัดเจน ผลสำรวจสำนักข่าว ABC แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกัน มีความสงสัยต่อชาวอาหรับลดลง จากเดิมคือ 43% หลังเกิดเหตุ 9/11 ไม่นาน เหลือเป็น 31% ในเดือนธันวาคม
เช่นเดียวกันกับเหตุกราดยิงคนผิวดำ โบสถ์ทีชาร์ลสตัน บารัค โอบามา เลือกจะพูดถึงการให้อภัย และความสามัคคี แทนการเหยียดเชื้อชาติ และสร้างความเกลียดชัง เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การถอดธงสมาพันธรัฐ สัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติ ออกจากอาคารรัฐสภา
ความหนึ่งเดียวเริ่มจางหายในยุคทรัมป์
แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสามัคคีของชาวอเมริกันเริ่มสั่นคลอน และขยับเข้าใกล้ความแตกแยกมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ คนอเมริกันมักรีบโยนความผิดให้กับ “วาทกรรมทางการเมือง” ว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรง
บทความจาก CNN ชี้ว่า หลังเหตุกราดยิงสมาชิกพรรครีพับลิกัน ระหว่างการแข่งขันเบสบอลการกุศลปี 2017 ชาวอเมริกัน 41% โทษวาทกรรมการเมืองของอีกฝ่ายว่าเป็นสาเหตุของความรุนแรง เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ที่มีเพียง 24%
ปี 2022 หลังเหตุทำร้าย พอล เพโลซี สามีอดีตประธานสภาผู้แทนฯ จากพรรคเดโมแครต ตัวเลขนี้ขยับขึ้นเป็น 49% และล่าสุด หลังเหตุพยายามลอบสังหารทรัมป์ ตัวเลขพุ่งสูงถึง 54%
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเหยื่อเป็นฝ่ายการเมืองเดียวกับตัวเอง ตัวเลขยิ่งสูงขึ้น เช่น รีพับลิกัน 76% โทษวาทกรรมหลังเหตุลอบสังหารทรัมป์ ขณะที่เดโมแครต 74% โทษวาทกรรมหลังเหตุทำร้ายเพโลซี
เหตุลอบสังหาร “ชาร์ลี เคิร์ก” สะท้อนความแตกแยกสังคมอเมริกัน
แม้ว่าวาทกรรมการเมืองอาจมีส่วนผลักดันให้เกิดความรุนแรงจริง แต่ชัดเจนว่าคนอเมริกันตอนนี้ มองโศกนาฏกรรมผ่านแว่นการเมืองมากขึ้น
หลังการลอบสังหารชาร์ลี เคิร์ก การตอบสนองยิ่งแย่ลงไปอีก นักการเมืองรีบชี้นิ้วหาคนผิดทันที ทรัมป์กับพวกรีพับลิกันรีบโทษฝ่ายซ้าย ทั้งที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ หรือมีแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่
สื่ออนุรักษ์นิยม อย่าง Fox News ใช้ถ้อยคำรุนแรง ถึงขั้นพูดว่า “นี่คือสงคราม” ขณะเดียวกันฝั่งซ้ายบางคนก็บอกว่า คำพูดแรง ๆ ของเคิร์ก เองอาจนำภัยมาสู่ตัว ซึ่งโซเชียลมีเดีย ยังมีส่วนที่ช่วยขยายความขัดแย้งนี้ด้วย
ความตึงเครียดยังแสดงออกมาแม้แต่ในการไว้อาลัย ฝ่ายรีพับลิกันขอให้ร่วมสวดออกเสียงหรือยืนสงบนิ่ง แต่ฝ่ายเดโมแครตกลับคัดค้าน โดยชี้ว่าฝั่งรีพับลิกันไม่เคยทำเช่นนี้ให้กับเหยื่อกรณีกราดยิงโรงเรียนในโคโลราโดที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน นี่สะท้อนให้เห็นว่า การเมืองเริ่มบดบังความเห็นอกเห็นใจต่อกันในสังคมอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม แม้การกล่าวโทษทางการเมืองจะรุนแรงขึ้น แต่ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงอยากใช้ชีวิตตามปกติ และไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งลุกลามไปมากกว่านี้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
https://edition.cnn.com/2025/09/11/politics/aftermath-charlie-kirk-trump-9-11
https://edition.cnn.com/2025/09/15/politics/kirk-murder-cox-trump-johnson-analysis?cid=ios_app
- ทรัมป์-เมลาเนีย ถึงอังกฤษ เตรียมเข้าพบกษัตริย์ชาลส์ พร้อมพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
- สหรัฐฯ เผยบรรลุข้อตกลง TikTok กับจีนได้แล้ว ยังสามารถดำเนินการได้ในสหรัฐฯ
- ทรัมป์เรียกร้องชาติสมาชิกนาโตหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
- ทรัมป์เผยเมืองต่อไป "เมมฟิส" ส่ง "เนชันแนล การ์ด" ปราบอาชญากรรมแบบดี.ซี.
- สหรัฐฯ สู่ “ระยะอันราย” ลอบสังหาร-ความรุนแรงทางการเมือง
ที่มาข้อมูล : CNN
ที่มารูปภาพ : Getty Images
