

สรุปข่าว
เทรนด์รักสุขภาพ ในบ้านเรา ทำให้หลายๆสินค้าหลายๆผลิตภัณฑ์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง อย่างเช่น "สาหร่ายพวงองุ่น" ที่บรรดากลุ่มคนรักสุขภาพน่าจะรู้จักกันดี เพราะเป็นเมนูสุขภาพที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งก็ทำให้ปัจจุบันชาวประมงหรือเกษตรกรต่างก็หันมาเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นเพิ่มมากขึ้น
ที่ชุมชนแหลมสัก จ.กระบี่ ที่เป็นพื้นที่ติดทะเล และมีทำเลที่สามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นได้ดีอีกแห่งหนึ่ง
พี่ ชาญฤทธิ์ เพิ่มทรัพย์ หรือโกเล็ก ชาวบ้านในชุมชนแหลมสัก และยังเป็นประธานชุมชนท่องเที่ยวแหลมสัก บอกว่า สาหร่ายพวงองุ่นที่นี่ รสชาติจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะถูกเพาะเลี้ยงในกระชังกลางทะเล มีทำเลที่เหมาะสม เพราะบริเวณที่ทำกระชังสาหร่ายจะต้องมีน้ำทะเลที่นิ่ง กระแสลมกระแสน้ำไม่แรง จะสังเกตว่า บริเวณที่เพาะสาหร่ายจะมีภูเขา มีเกาะกั้นอยู่รอบๆ จึงไม่มีปัญหาเรื่องของกระแสคลื่นที่รุนแรงมาพัดกระชังแถบนี้ ขณะเดียวกันสาหร่ายพวงองุ่นที่นี่ เพาะเลี้ยงในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ ไม่มีกลิ่นคาว หนึบ กรอบ ทานง่าย ต่างจากสาหร่ายพวงองุ่น ที่ถูกเลี้ยงในบ่อคอนกรีต หรือบ่อโคลน ของภาคอื่น
สาหร่ายพวงองุ่น ที่แหลมสัก เป็นพันธุ์เดียวกับที่เพาะที่ จ. เพชรบุรี แต่ได้นำมาดัดแปลง วิธีการเพาะเลี้ยงเพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศ และลักษณะของแหล่งเพาะเลี้ยงในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมเลี้ยงในกระชังในทะเล ซึ่งต้องนั่งเรือจากฝั่ง เพื่อไปเพาะเลี้ยงตามริมเกาะกันเลยทีเดียว
แม้จะเป็นพันธุ์ที่ดัดแปลง แต่การดูแลก็ไม่ยาก เพราะด้วยลักษณะแหล่งเพาะเลี้ยงที่เป็นทะเล จึงไม่จำเป็นต้องเติมน้ำเค็ม หรือ ใส่ปุ๋ยบำรุงใดๆ เพราะสาหร่ายของที่นี่จะได้รับสารอาหารในทะเลตามธรรมชาติ เมื่อปลูกแล้วก็สามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นต่อได้โดยไม่ต้องกังวล โดยหลังจากการปลูกประมาณ 1-2 เดือน จะสามารถเก็บเกี่ยวสาหร่ายได้ และความถี่ในการเก็บเกี่ยว 2 สัปดาห์ต่อครั้ง หากขายส่งราคาจะอยู่ที่ กิโลกรัมละ 100 บาทขึ้นไป
ชาวบ้านหรือชาวประมงที่นี่ จะนิยมเพาะสาหร่ายพวงองุ่นไว้ในกระชังแยกจากปลาหรือ หอย เพื่อกันไม่ให้แย่งสารอาหารกัน ซึ่งก็เป็นจุดเด่นที่ทำให้รสชาติของสาหร่ายพวงองุ่นที่นี่ มีรสชาติไม่คาว และเมื่อสาหร่ายโตพอที่จะเก็บได้ ชาวบ้านก็จะเอาขึ้นมาจากกระชัง และนำไปล้างน้ำจืดในน้ำไหลผ่าน ประมาณ 2-3 น้ำ เพื่อให้สาหร่ายคลายความเค็มจากน้ำทะเลออกไปก่อน จึงจะสามารถนำไปรับประทานได้ หลังจากล้างแล้วจะอยู่ได้ในอุณภูมิปกติประมาณ 2-4 วัน ก่อนที่จะฟีบและรับประทานไม่ได้
การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นของที่นี่ได้รับความนิยมมาก และยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลอื่นๆที่นิยมเพาะเลี้ยงเช่นกัน จึงทำให้ราคาสาหร่ายพวงองุ่นลดลง จากเดิมที่สามารถขายได้กิโลกรัมละ 200-700 บาท เพราะก่อนหน้านี้ ชาวบ้านหันมาเพาะสาหร่ายพวงองุ่นขายกันมาก บางรายก็หาที่ขายประจำไม่ได้ จึงเอามาขายเลหลังแบบราคาถูก เลยทำให้ราคาตกลงไป ซึ่งก็ทำให้ราคาสาหร่ายพวงองุ่นตกลงไป แต่ปัจจุบันหากใครคิดจะเพาะสาหร่ายพวงองุ่นขาย จะต้องเริ่มจากการหาแหล่งรับซื้อให้ได้ก่อน
ที่ชุมชนแหลมสักเองก็มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยม ก็คือการมาดูฟาร์มสาหร่ายพวงองุ่น และวิถีชีวิตของชาวประมงย่านนี้ ก็ถือว่าเป็นอาชีพเสริมไปในตัว ต่อยอดไปยังธุรกิจท่องเที่ยวของชุมชนได้อีกด้วย
"อาชีพแต่ละอาชีพมีคุณค่าของมัน อยู่ที่เราจะส่งเสริมคุณค่าในตัวเองมากแค่ไหน เท่านั้นเอง"
- Exclusive Content : งัดท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พยุงเที่ยวไทยปี 63 สู้ไวรัสโควิด-19
- Exclusive Content :คืนชีพย่านเจริญกรุง ด้วยแฟชั่นและอาหาร
- Exclusive Content :"Elephant Care Tourism"อนาคตท่องเที่ยวช้างไทย
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
ที่มาข้อมูล : -