น้ำมันแพงดึงเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง คงสถิติสูงสุดรอบ 40 ปี

ปัจจัยติดตาม

1.น้ำมันแพงดึงเงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่ง คงสถิติสูงสุดรอบ40ปี

โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พบว่าพุ่งขึ้นร้อยละ 7.9 ในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ร้อยละ 7.8 ส่วนเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ร้อยละ 0.7

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานที่ตัดหมวดอาหารและพลังงานออกไป พบว่าพุ่งขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเมื่อเทียบรายเดือน ดีดตัวขึ้นร้อยละ 0.5 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงยืนในระดับสูง เป็นผลมาจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เช่นเดียวกับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 3.5 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น 

ทั้งนี้ ประชาชนสหรัฐ เพิ่งจะเผชิญการพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาน้ำมันเบนซินขายปลีก ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าราคาจะยังคงดีดตัวขึ้นต่อไป หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเมื่อเร็วๆนี้ 

2.อีซีบีส่งสัญญาณยุติ QE เร็วขึ้น ปูทางขึ้นดอกเบี้ยไตรมาส3

ส่วนการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้สร้างเซอร์ไพร้ส์ให้กับตลาด ด้วยการส่งสัญญาณว่าจะยุติการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในยูเครน

ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 0 และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ติดลบร้อยละ 0.50 ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไว้ที่ร้อยละ 0.25 ซึ่งมติเหล่านี้ ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่ตลาดค่อนข้างเซอร์ไพร้ส์ คือ ECB ได้ส่งสัญญาณยุติการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ โดย ECB ระบุในแถลงการณ์ว่า โครงการซื้อพันธบัตรจะสิ้นสุดในไตรมาสที่ 3 หากข้อมูลทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวย และ ECB ก็พร้อมที่จะทบทวนการตัดสินใจนี้อีกครั้งหากแนวโน้มเปลี่ยนไป

ตลาดมองว่าการส่งสัญญาณในครั้งนี้ จะเป็นการปูทางให้ ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 5.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ของ ECB ซึ่ง

ความเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้น ว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนอาจเผชิญกับภาวะซบเซาในไม่ช้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง และสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางของยุโรป เพราะกำลังเผชิญผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในยูเครน

3.แบงก์ใหญ่สหรัฐฯ "โกลด์แมน แซคส์" ปิดกิจการในรัสเซีย 

บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ยังคงเดินหน้าคว่ำบาตรรัสเซียด้วยถอนตัวออกจากประเทศจากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้ ลามไปถึงวาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง "โกลด์แมน แซคส์" ที่ประกาศยุติการดำเนินธุรกิจในรัสเซียเช่นกัน

แถลงการณ์ของ "โกลด์แมน แซคส์" ระบุว่า โกลด์แมน แซคส์กำลังจะปิดกิจการในรัสเซีย โดยจะปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดตามใบอนุญาต" ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้ "โกลด์แมน แซคส์" กลายเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ระดับโลกรายแรกๆ ที่ประกาศถอนตัวออกจากรัสเซีย 

แต่อย่างไรก็ดี มีข้อมูลว่าธนาคารจากสหรัฐฯส่วนใหญ่ มีการดำเนินกิจการในรัสเซียไม่มากนัก เพราะรัสเซียนั้น เป็นประเทศที่มีมูลค่าเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ โดยโกลด์แมน แซคส์มีการลงทุนในรัสเซียเพียง 940 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการปล่อยสินเชื่อ 650 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.10 ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของทางธนาคารเท่านั้น ส่วนความเคลื่อนไหวของธนาคารในฝั่งยุโรป มีรายงานว่า ในส่วนของธนาคารดอยซ์ แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนและสถาบันการเงินรายใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนี ยังคงตัดสินใจที่จะทำธุรกิจในรัสเซียต่อไป 

โดยหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินของธนาคารดอยซ์แบงก์กล่าวกับ CNBC ว่า "เราจะอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนลูกค้าของเรา ดังนั้น ในทางปฏิบัติ การออกมาจากรัสเซีย จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เราสามารถใช้ได้ และไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ยินดีที่จะพิจารณาจุดยืนใหม่ หากสถานการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้น และลูกค้าในรัสเซียซึ่งส่วนใหญ่เป็น บริษัท ข้ามชาติยุติการดำเนินงานในประเทศ"

#รัสเซียยูเครน #สงครมยูเครน #เงินเฟ้อ #TNNWealth #TNNช่อง16 

ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์

• Line @TNNWEALTH : https://lin.ee/TQ14oAe

• Facebook : https://www.facebook.com/TNNWealth

—————————————————————————

ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่ 

• Website : https://bit.ly/TNNWealthWebsite

• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube

• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok

หรือดูรายการ Live ได้ทาง

https://www.facebook.com/TNN16LIVE/