
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ประจำปี 2567 พบว่า จำนวนคนจนของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิด ร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41
โดยเส้นความยากจนหรือค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ใช้ในการดำรงชีพปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จาก 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 2566
สรุปข่าว
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ประจำปี 2567 พบว่า จำนวนคนจนของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิด ร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41
โดยเส้นความยากจนหรือค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ใช้ในการดำรงชีพปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จาก 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 2566
และหากพิจารณาในระดับครัวเรือน พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีครัวเรือนยากจนประมาณ 1.03 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 3.68 ของครัวเรือนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากประมาณ 6.86 แสนครัวเรือน ในปี 2566
ทั้งนี้ หากพิจารณาความยากจนตามระดับความรุนแรง พบว่า จำนวนคนจนในทุกระดับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มคนจนมาก หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง (คนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่าร้อยละ 20) เพิ่มขึ้น จาก 6.28 แสนคน ในปี 2566 เพิ่มเป็น 8.79 แสนคน
โดยครัวเรือนยากจนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 7,938 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่ 2,375 บาท โดยส่วนใหญ่กว่าครึ่งจ่ายเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม รองลงมาคือค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย และค่าเดินทางและการสื่อสาร
ภาวะดังกล่าวทำให้คำแนะนำสภาพัฒน์ เพื่อลดความเหลื่มล้ำ จึงยังอยู่ที่การเงลงทุนในโครงสร้างที่จำเป็นต่อการยกระดับศักยภาพเกษตรกรอย่างยั่งยืนยั่งยืน ลดความเลื่อมล้ำ และการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีเงื่อนไขให้เข้าร่วมเสริมทักษะหรือปรับโครงสร้างการผลิต การส่งเสริมช่องทางการตลาด เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร เป็นต้น
ที่มาข้อมูล : สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่มารูปภาพ : Getty Images
