นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมวงเงินรองรับการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ไว้แล้วไม่ต่ำกว่า 160,000 ล้านบาท และการพัฒนาระบบการจ่ายเงินยังคงเป็นไปตามแผน โดยจะใช้ระบบเพย์เม้นท์ใหม่ในรูปแบบวอลเล็ต ที่มีบล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลหลัก ตอนนี้เราได้หารือร่วมกับสถาบันการเงินทุกแห่งเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบ Open Loop ซึ่งทุกแห่งแสดงความพร้อมในการเข้าร่วมระบบแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนในรายละเอียดปลีกย่อย และการทดสอบระบบ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ และจะเสร็จทันในช่วงไตรมาสที่ 2 อย่างแน่นอน
สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะ 3 ยังคงเงื่อนไขเดิม คือ ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อายุ 16-60 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน ไม่มีรายได้เกิน 840,000 บาทในปีภาษี 2566 และไม่มีเงินฝากรวมกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ส่วนการตรวจสอบเงินฝากจะครอบคลุม 6 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับฝากเงิน และผลิตภัณฑ์เงินฝากอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน โดยจะนับเฉพาะเงินฝากในสกุลเงินบาทและไม่รวมบัญชีร่วม
นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิต้องไม่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ และไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ
อย่างไรก็ตามการแจกเงินดิจิทัลทั้ง 3 ระยะนั้น เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้งบประมาณรวมกว่า 344,500 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนประมาณ 33 ล้าน 4 แสน 7 หมื่นคน
โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้ระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปข่าว
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมวงเงินรองรับการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ไว้แล้วไม่ต่ำกว่า 160,000 ล้านบาท และการพัฒนาระบบการจ่ายเงินยังคงเป็นไปตามแผน โดยจะใช้ระบบเพย์เม้นท์ใหม่ในรูปแบบวอลเล็ต ที่มีบล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลหลัก ตอนนี้เราได้หารือร่วมกับสถาบันการเงินทุกแห่งเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบ Open Loop ซึ่งทุกแห่งแสดงความพร้อมในการเข้าร่วมระบบแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนในรายละเอียดปลีกย่อย และการทดสอบระบบ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ และจะเสร็จทันในช่วงไตรมาสที่ 2 อย่างแน่นอน
สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะ 3 ยังคงเงื่อนไขเดิม คือ ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อายุ 16-60 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน ไม่มีรายได้เกิน 840,000 บาทในปีภาษี 2566 และไม่มีเงินฝากรวมกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567
ส่วนการตรวจสอบเงินฝากจะครอบคลุม 6 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับฝากเงิน และผลิตภัณฑ์เงินฝากอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน โดยจะนับเฉพาะเงินฝากในสกุลเงินบาทและไม่รวมบัญชีร่วม
นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิต้องไม่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ และไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐ
อย่างไรก็ตามการแจกเงินดิจิทัลทั้ง 3 ระยะนั้น เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้งบประมาณรวมกว่า 344,500 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนประมาณ 33 ล้าน 4 แสน 7 หมื่นคน
โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้ระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- "ธนาคารอาคารสงเคราะห์"ปล่อยกู้สินเชื่อใหม่ 8 หมื่นล้านบาท
- คาดยอดขาย"สมาร์ตโฟน"ปี 2568 โตแผ่ว
- "ธนาคารแห่งประเทศไทย"ชี้งบ 1.57 แสนล้าน ช่วย"เศรษฐกิจ"ปรับตัวได้
- ททท.เขย่าสิทธิ"เที่ยวไทยคนละครึ่ง"ใหม่
- "ไทย"หารือดูไบ ดึงลงทุนทันสมัยหนุน"สตาร์ทอัพ"
- "กระทรวงอุตสาหกรรม"กางแผนใช้งบ 1.57 แสนล้านบาท
- "กยศ."ชะลอหัก"เงินเดือน" 3พันบาทเริ่มมิ.ย.
TNNThailand