พลิกวิกฤต "ถังป๊อปคอร์นดีไซน์ล้ำ" ฟื้นธุรกิจโรงหนัง ? l การตลาดเงินล้าน

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ถังป๊อปคอร์นที่มีดีไซน์แปลกใหม่ กำลังช่วยให้ผลประกอบการของธุรกิจโรงหนังในสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าในการชมภาพยนตร์ แก่ผู้ชม

ซึ่ง ป๊อปคอร์น เป็นของกินเล่นเมนูหลักของผู้ชมในโรงภาพยนตร์ และเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจโรงหนังมานานหลายทศวรรษ แต่ปัจจุบัน ภาชนะ หรือถังที่ใส่ป๊อปคอร์น ก็มีส่วนสำคัญมากเช่นกัน 

เช่น เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ (AMC Entertainment) เครือโรงภาพยนตร์ ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ จากที่ไม่ได้ขายสินค้าใด ๆ แต่เมื่อปีที่แล้ว กลับสามารถทำรายได้จากการขายถังป๊อปคอร์น รวมถึงไอเท็มของที่ระลึกอื่น ๆ เช่น แก้วเครื่องดื่ม และเสื้อยืด เป็นมูลค่ากว่า 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

อดัม อารอน (Adam Aron) ซีอีโอ ของ เอเอ็มซี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้แรงบันดาลใจมาจากการขายถังป๊อปคอร์น จากการฉายภาพยนตร์ของบริษัทฯ เอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ต " Taylor Swift: The Eras Tour ที่เริ่มออกฉายเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2023 ซึ่งขายได้ดีมาก และจากนั้นจึงทำมาต่อเนื่อง แทบจะทุกเดือน

ไม่ใช่แค่ เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ดังกล่าว ยังมีเครือโรงภาพยนตร์อื่น ๆ เช่น ซินีมาร์ก (Cinemark), มาร์คัส (Marcus), รีกัล (Regal) และ บี แอนด์ บี เธียเตอร์ส (B&B Theatres) ก็นำถังป๊อปคอร์นมาเป็นกลยุทธ์ ด้วยการสร้างความพิเศษ เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อจากผู้ชม และสร้างความรู้สึกว่าจะต้องไปรีบซื้อในช่วงสัปดาห์แรกของหนังที่เริ่มเข้าโรง

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ยังมองเห็นว่า ถังป๊อปคอร์น จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับประสบการณ์การชมภาพยนตร์แก่ผู้ชม อีกด้วย 

ด้าน พอล ฟาร์นสเวิร์ธ (Paul Farnsworth) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและเนื้อหาของ บี แอนด์ บี เธียเตอร์ส กล่าวว่า หลังจากโควิด 19 บริษัทฯ ตระหนักได้ว่า การสร้างบรรยากาศและความน่าตื่นเต้นในการชมภาพยนตร์ เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาสู่โรงหนังอีกครั้ง เพราะความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ก็คือการที่ผู้คนเลิกเดินทางไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กันแล้ว

ขณะเดียวกัน ปัญหาการผลิตหนังในฮอลลีวูด ยังทำให้ปี 2024 มีการฉายในโรงภาพยนตร์น้อยลง ยอดขายตั๋วก็ลดลง เห็นได้จากรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ ลดลงไปร้อยละ 3.4 จากปีก่อนหน้า (2023) เหลือ 8,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ซึ่ง ฟาร์นสเวิร์ธ ตั้งข้อสังเกตว่า ถังป๊อปคอร์น ที่ไม่เหมือนใคร จะสามารถเพิ่มแรงดึงดูดให้ลูกค้าออกจากบ้าน เพื่อไปดูหนังได้ และช่วยสร้างความทรงจำจากการเดินทางไปดูหนัง ด้วยการนำถังป๊อปคอร์นติดตัวกลับไปบ้าน โดยจะนำไปวางไว้บนชั้น เพื่อตั้งโชว์ หรือนำกลับไปใช้ซ้ำ ก็ทำได้ ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่สิ่งที่มีค่ามากที่สุด ก็คือการที่ผู้คนเดินทางมาที่โรงหนัง และได้ของสนุก ๆ กลับบ้าน หรือมาถ่ายรูปกับสิ่งของเหล่านั้นในโรงหนังกันมากขึ้น

สำหรับ ซีอีโอ ของ ซินีมาร์ก (Cinemark) ฌอน แกมเบิล (Sean Gamble) เล่าว่า บริษัทได้ทำถังป๊อปคอร์น ลาย สกรีม (Scream) ในการเปิดตัวหนังเรื่อง สกรีม 6 (Scream VI) เมื่อปี 2023 และประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะมันได้รับความนิยมอย่างมาก และขายหมดในทันที จากนั้นเลยนำไปขายในช่องทางออนไลน์เพิ่มเติมด้วย 


สรุปข่าว

พลิกวิกฤต "ถังป๊อปคอร์นดีไซน์ล้ำ" เป็นธุรกิจใหม่ที่สำคัญ สร้างรายได้ฟื้นธุรกิจโรงหนัง

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ถังป๊อปคอร์นที่มีดีไซน์แปลกใหม่ กำลังช่วยให้ผลประกอบการของธุรกิจโรงหนังในสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าในการชมภาพยนตร์ แก่ผู้ชม

ซึ่ง ป๊อปคอร์น เป็นของกินเล่นเมนูหลักของผู้ชมในโรงภาพยนตร์ และเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจโรงหนังมานานหลายทศวรรษ แต่ปัจจุบัน ภาชนะ หรือถังที่ใส่ป๊อปคอร์น ก็มีส่วนสำคัญมากเช่นกัน 

เช่น เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ (AMC Entertainment) เครือโรงภาพยนตร์ ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ จากที่ไม่ได้ขายสินค้าใด ๆ แต่เมื่อปีที่แล้ว กลับสามารถทำรายได้จากการขายถังป๊อปคอร์น รวมถึงไอเท็มของที่ระลึกอื่น ๆ เช่น แก้วเครื่องดื่ม และเสื้อยืด เป็นมูลค่ากว่า 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

อดัม อารอน (Adam Aron) ซีอีโอ ของ เอเอ็มซี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้แรงบันดาลใจมาจากการขายถังป๊อปคอร์น จากการฉายภาพยนตร์ของบริษัทฯ เอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ต " Taylor Swift: The Eras Tour ที่เริ่มออกฉายเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2023 ซึ่งขายได้ดีมาก และจากนั้นจึงทำมาต่อเนื่อง แทบจะทุกเดือน

ไม่ใช่แค่ เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ดังกล่าว ยังมีเครือโรงภาพยนตร์อื่น ๆ เช่น ซินีมาร์ก (Cinemark), มาร์คัส (Marcus), รีกัล (Regal) และ บี แอนด์ บี เธียเตอร์ส (B&B Theatres) ก็นำถังป๊อปคอร์นมาเป็นกลยุทธ์ ด้วยการสร้างความพิเศษ เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อจากผู้ชม และสร้างความรู้สึกว่าจะต้องไปรีบซื้อในช่วงสัปดาห์แรกของหนังที่เริ่มเข้าโรง

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ยังมองเห็นว่า ถังป๊อปคอร์น จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับประสบการณ์การชมภาพยนตร์แก่ผู้ชม อีกด้วย 

ด้าน พอล ฟาร์นสเวิร์ธ (Paul Farnsworth) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและเนื้อหาของ บี แอนด์ บี เธียเตอร์ส กล่าวว่า หลังจากโควิด 19 บริษัทฯ ตระหนักได้ว่า การสร้างบรรยากาศและความน่าตื่นเต้นในการชมภาพยนตร์ เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาสู่โรงหนังอีกครั้ง เพราะความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ก็คือการที่ผู้คนเลิกเดินทางไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กันแล้ว

ขณะเดียวกัน ปัญหาการผลิตหนังในฮอลลีวูด ยังทำให้ปี 2024 มีการฉายในโรงภาพยนตร์น้อยลง ยอดขายตั๋วก็ลดลง เห็นได้จากรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ ลดลงไปร้อยละ 3.4 จากปีก่อนหน้า (2023) เหลือ 8,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ซึ่ง ฟาร์นสเวิร์ธ ตั้งข้อสังเกตว่า ถังป๊อปคอร์น ที่ไม่เหมือนใคร จะสามารถเพิ่มแรงดึงดูดให้ลูกค้าออกจากบ้าน เพื่อไปดูหนังได้ และช่วยสร้างความทรงจำจากการเดินทางไปดูหนัง ด้วยการนำถังป๊อปคอร์นติดตัวกลับไปบ้าน โดยจะนำไปวางไว้บนชั้น เพื่อตั้งโชว์ หรือนำกลับไปใช้ซ้ำ ก็ทำได้ ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่สิ่งที่มีค่ามากที่สุด ก็คือการที่ผู้คนเดินทางมาที่โรงหนัง และได้ของสนุก ๆ กลับบ้าน หรือมาถ่ายรูปกับสิ่งของเหล่านั้นในโรงหนังกันมากขึ้น

สำหรับ ซีอีโอ ของ ซินีมาร์ก (Cinemark) ฌอน แกมเบิล (Sean Gamble) เล่าว่า บริษัทได้ทำถังป๊อปคอร์น ลาย สกรีม (Scream) ในการเปิดตัวหนังเรื่อง สกรีม 6 (Scream VI) เมื่อปี 2023 และประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะมันได้รับความนิยมอย่างมาก และขายหมดในทันที จากนั้นเลยนำไปขายในช่องทางออนไลน์เพิ่มเติมด้วย 


อย่างไรก็ตาม ถังป๊อปคอร์นที่ระลึก ถือเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าในสวนสนุกมาช้านานแล้ว โดยช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทต่าง ๆ ทั้ง ดิสนีย์ และ ยูนิเวอร์ซัล (Disney and Universal) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่สำหรับธุรกิจโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ถือว่าล่าช้าในการปรับตัวตามกระแสนี้

โดย ร็อด เมสัน รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ ซิงค์ กรุ๊ป (Zinc Group) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้โรงภาพยนตร์หลายแห่ง ลังเลที่จะการผลิตสินค้าเหล่านั้น ออกมา แต่ในที่สุด ก็มีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้น ในช่วงปี 2019 ที่มีถังป๊อปคอร์น อาร์ทู-ดีทู (R2-D2) ซึ่งผลิตขึ้นมาสำหรับหนังเรื่อง สตาร์ วอร์ส : เดอะ ไรซ์ ออฟ สกายวอล์กเกอร์ (Star Wars: The Rise of Skywalker)

เขาเล่าอีกว่า เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ ยอมเสี่ยงกับเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาสามารถขายได้หลายหมื่นชิ้น และขายได้หมดภายใน 3 หรือ 4 ว้น เท่านั้น ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงอย่างไม่น่าเชื่อ อีกด้วย 

โดยบอกว่า ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อมีการตอบรับที่ดี ทุกคนจึงคิดได้ว่า ถังป๊อปคอร์น เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล

จากนั้น ถังป๊อปคอร์นหุ่นยนต์ เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ ก็ถูกนำออกมาจำหน่ายอีกครั้งสำหรับการฉายหนัง ครบรอบ 25 ปี ของ สตาร์ วอร์ส เอปปิโสด วัน - อะ แฟนทอม มีแนซ (Star Wars: Episode 1 — A Phantom Menace) โดยชุดถังป๊อปคอร์นและแก้วเครื่องดื่ม ขายในราคา 49.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาสำคัญที่แท้จริงของตลาดเฉพาะกลุ่มนี้ เกิดขึ้นอีกเกือบ 5 ปีต่อมา ด้วยถังป๊อปคอร์นที่โด่งดังแห่งยุคปัจจุบัน จากหนังเรื่อง ดูน พาร์ท ทู (Dune: Part Two) ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา โดยถัง ถูกออกแบบให้เป็นแบบจำลองของหนอนทราย ที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง

ประเด็นคือ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดเป็นกระแส แต่กลับเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยถัง ราคา 24.99 ดอลลาร์ นั้น สามารถขายได้ทั้งหมด และยังได้รับความนิยมอย่างมาก ในตลาดรอง (ตลาดขายต่อ) เช่น ใน อีเบย์ (eBay) ถังป๊อปคอร์นดังกล่าว สามารถขายได้ในราคาถังละ 50 ดอลลาร์ ถึง 210 ดอลลาร์ เลยทีเดียว

นั่นเกิดจากความรู้สึกของผู้คนในโซเชียลมีเดีย กลัวจะพลาดโอกาส ในกระแสความนิยม และการรับรู้ว่าของมีปริมาณจำกัด

นอกจากนี้ ถังป๊อปคอร์น จากภาพยนตร์เรื่อง ดูน ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ไรอัน เรย์โนลด์ส นักแสดงและโปรดิวเซอร์จากเรื่อง เดดพูล แอนด์ วูล์ฟเวอรีน (Deadpool & Wolverine) ที่ออกแบบถังป๊อปคอร์นสุดเก๋ เพื่อเปิดตัวภาพยนตร์ของเขา โดยเป็นถังรูปหัวของวูล์ฟเวอรีนอ้าปาก (เพื่อใส่ป๊อปคอร์น) ขายในราคา 29.99 ดอลลาร์ และมีวางจำหน่ายเฉพาะที่ เอเอ็มซี เท่านั้นด้วย 

มีคาดการณ์ ด้วยว่า สตูดิโอ และโรงภาพยนตร์ จะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับ บริษัทอย่างเช่น ซิงค์ เพื่อสร้างสรรค์ถังป๊อปคอร์นที่มีความพิเศษแปลกใหม่สำหรับผู้ชม

ซึ่ง ซิงค์ กรุ๊ป (Zinc Group) เป็นบริษัทออกแบบและผลิตถังป๊อปคอร์น และแก้วเครื่องดื่มที่มีตราสินค้าในสหรัฐฯ และปัจจุบันเป็น 1 ใน ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดป๊อปคอร์นพรีเมียม

ผู้บริหารจาก ซิงค์ กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก และทุกคนพยายามเอาชนะกัน และต้องแน่ใจว่าสินค้าของพวกเขานั้นดีที่สุด ซึ่งปีที่ผ่านมาว่ามีการแข่งขันกันรุนแรงแล้ว จากนั้นก็ยังถูกจับตามองมากขึ้นไปอีก เพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ กำลังจะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายจำนวนมาก หลังจากล่าช้าออกไปในช่วงการระบาดใหญ่ และการหยุดประท้วงของชาวฮอลลีวูดก่อนหน้านี้

ยกตัวอย่างหนังฟอร์มยักษ์ ที่จะฉายในปี 2025 ได้แก่ 

กัปตัน อเมริกา เบรฟ นิว เวิลด์ (Captain America: Brave New World) เปิดตัวไปแล้วในสหรัฐฯ 

ธันเดอร์ โบลต์ส (Thunderbolts)

มิสชัน อิมพอสสิเบิล : เดอะ ไฟนอล เรคคอนนิง (Mission: Impossible: The Final Reckoning)

ฮาว ทู เทรน ยัวร์ ดรากอน (How to Train Your Dragon)

จูราสสิค เวิลด์ รีเบิร์ธ (Jurassic World Rebirth)

ซูเปอร์แมน (Superman)

แฟนทาสติค โฟร์ : เฟิร์สต์ สเตปส์ (Fantastic Four: First Steps)

วิคเคด ฟอร์ กู้ด (Wicked: For Good)

ซูโทเปีย 2 (Zootopia 2)

และ อวตาร์ ไฟเออร์ แอนด์ แอช (Avatar: Fire and Ash)

ส่วนปี 2026 ก็ยังมีหนังฟอร์มยักษ์ต่อเนื่อง เช่น

ซูเปอร์ มาริโอ โบรส์ (Super Mario Bros.)

อะเวนเจอร์ส ดูมสเดย์ (Avengers: Doomsday)

เดอะ แมนดาโลเรียน แอนด์ กรอกกู (The Mandalorian and Grogu)

ทอย สตอรี่ 5 (Toy Story 5)

ซูเปอร์ เกิลด์ วูแมน ออฟ ทูมอโรว์ (Supergirl: Woman of Tomorrow)

มินเนียน 3 (Minions 3)

ฮังเกอร์ เกมส์ ซันไรซ์ ออน เดอะ รีปปิง (Hunger Games: Sunrise on the Reaping)

ไอซ์ เอจ 6 (Ice Age 6) 

และ เชรก 5 (Shrek 5)

นอกจากนี้ ฟาร์นสเวิร์ธ แห่ง บีแอนด์บี เธียเตอร์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พลาดโอกาสบางอย่างไป ซึ่งกระแสถังป๊อปคอร์นจากหนังเรื่อง ดูน ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่กลับมาคิดว่าจะต้องใส่ใจในเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้นซึ่ง บีแอนด์บี เป็นเครือโรงภาพยนตร์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในอเมริกา และมีสาขาทั้งหมด 58 สาขา 

ขณะที่ อารอน จาก เอเอ็มซี กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่บริษัทจะทำในปี 2025 นี้ ก็คือการเพิ่มปริมาณสินค้าให้มากขึ้น

ที่มาข้อมูล : CNBC

ที่มารูปภาพ : -

avatar

TNNThailand