นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ตนได้พบหารือกับนายซูมาน เบอรี่ รองประธานสถาบันแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลงอินเดีย (NITI Aayog) โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของประเทศ เพื่อช่วยผลักดันการค้า การลงทุน และการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในอนาคต ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การค้าระหว่างกันในปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของทั้งสองประเทศ ซึ่งอินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากถึง 1,400 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ในขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างกันยังเพิ่มขึ้นได้อีก
ตนจึงได้เสนอให้อินเดียพิจารณาสานต่อการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย ? อินเดีย ซึ่งขณะนี้มีเพียงการเปิดตลาดสินค้าส่วนแรก ให้เป็นความตกลงการค้าเสรีแบบครอบคลุม ซึ่งจะครอบคลุมการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของทั้งสองประเทศที่ต้องการยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
สรุปข่าว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ตนได้พบหารือกับนายซูมาน เบอรี่ รองประธานสถาบันแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลงอินเดีย (NITI Aayog) โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของประเทศ เพื่อช่วยผลักดันการค้า การลงทุน และการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในอนาคต ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การค้าระหว่างกันในปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของทั้งสองประเทศ ซึ่งอินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากถึง 1,400 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ในขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างกันยังเพิ่มขึ้นได้อีก
ตนจึงได้เสนอให้อินเดียพิจารณาสานต่อการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย ? อินเดีย ซึ่งขณะนี้มีเพียงการเปิดตลาดสินค้าส่วนแรก ให้เป็นความตกลงการค้าเสรีแบบครอบคลุม ซึ่งจะครอบคลุมการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของทั้งสองประเทศที่ต้องการยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
ขณะเดียวกัน ฝ่ายอินเดียต้องการให้การเจรจาทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน อินเดีย สรุปผลอย่างมีนัยสำคัญได้ภายในปี 2568 ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ให้สรุปผลการเจรจาแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ไทยยังผลักดันยกระดับกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - อินเดีย จากระดับปลัดกระทรวงเป็นระดับรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและผลักดันความร่วมมือในระดับนโยบาย ซึ่งจะเอื้ออำนวยประโยชน์ในการเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ อินเดียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ ในปี 2567 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 17,451.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 8.80 แบ่งเป็นการส่งออกไปอินเดียมูลค่า 11,755.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และการนำเข้าจากอินเดียมีมูลค่า 5,696.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สินค้านำเข้าสำคัญจากอินเดียอาทิ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 6,058.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ทรัมป์ลุยเพิ่มภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% หวังดันอุตสาหกรรมในประเทศ
- "ทรัมป์" ชื่นชม "อีลอน มัสก์" ย้ำมัสก์ไม่ได้ลาขาดจาก DOGE จะกลับมาเป็นพัก ๆ
- ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากเดิม 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 50 เปอร์เซ็นต์
- วิกฤตหนี้สหรัฐฯ "36 ล้านล้านเหรียญ" ที่ "ทรัมป์" ต้องแบกหลังแอ่น
- ภาษีทรัมป์ยังมีผลบังคับใช้ หลังศาลอุทธรณ์ไม่สั่งระงับการขึ้นภาษี
- รัฐบาลทรัมป์ออกคำสั่งให้ระงับสัมภาษณ์ “วีซ่านักเรียนใหม่” มันหมายความว่าอย่างไร และ จะส่งผลกระทบต่อใครบ้าง
- ทำไม “มัสก์” ลาออก แยกทาง “ทรัมป์” สิ้นสุดงานการเมือง
TNNThailand