"SABINA" ใช้วิชาตัวเบารวมโรงงาน ลดต้นทุน–รับมือเศรษฐกิจชะลอ l การตลาดเงินล้าน

นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า เดินหน้าปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจดำเนินการควบรวมโรงงานบุรีรัมย์เข้ากับโรงงานยโสธร ซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการควบรวมโรงงาน โดยเฉพาะการจ่ายค่าชดเชยตามสวัสดิการให้กับพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้ย้ายไปโรงงานยโสธรด้วย ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 113.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2566 โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 12.9 ลดลงจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 13.4

สรุปข่าว

SABINA เดินหน้าปรับกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ควบรวมโรงงานลดต้นทุนผลิต มั่นใจปี 2568 โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง พร้อมลุยตลาดต่างประเทศ และ วางเป้าเพิ่มช็อปในฟิลิปปินส์แตะ 70 แห่งปลายปีนี้

นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า เดินหน้าปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจดำเนินการควบรวมโรงงานบุรีรัมย์เข้ากับโรงงานยโสธร ซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการควบรวมโรงงาน โดยเฉพาะการจ่ายค่าชดเชยตามสวัสดิการให้กับพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้ย้ายไปโรงงานยโสธรด้วย ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 113.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2566 โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 12.9 ลดลงจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 13.4

ทั้งนี้ การรับรู้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ซึ่งได้ยอมรับรู้ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One Time Loss) แต่เป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลดีกับบริษัทฯ ในระยะยาว โดยเฉพาะการบริหารต้นทุน เนื่องจากโรงงานบุรีรัมย์ เป็นโรงงานเช่าที่มีภาระค่าเช่า ขณะที่โรงงานยโสธร เป็นเจ้าของและเป็นโรงงานที่มีพื้นที่มากพอที่จะขยายไลน์ผลิตในอนาคตได้ในกรณีที่จำเป็น ต้นทุนที่ลดลงทั้งค่าเช่า รวมถึงต้นทุนพนักงาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เดือนละ 2 ล้านบาท ซึ่งผลจากต้นทุนที่ลดลงจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

นอกจากนี้ SABINA ยังได้รับปัจจัยบวกจากการขึ้นค่าแรง ซึ่งไม่ได้ขึ้นในอัตรา 400 บาทเท่ากันทั้งประเทศ ทำให้ต้นทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น เมื่อรวมกับกลยุทธ์การบริหารพนักงาน ที่บริษัทฯ ไม่ได้รับพนักงานใหม่ทดแทนพนักงานเก่าที่ลาออกไป แต่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มทักษะและขีดความสามารถในการทำงานของพนักงาน ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ ในปีนี้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นจาก 1.33 บาทต่อหุ้น เป็น 1.34 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ 

ด้านนางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวถึงความคืบหน้าในการขยายธุรกิจในต่างประเทศว่า หลังเข้าลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ด้วยการถือหุ้นใน Moda ฟิลิปปินส์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีมาโดยตลอด 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ยอดขายในฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของห้างสรรพสินค้าภายในประเทศ ทำให้ยอดขายในสโตร์ขนาดใหญ่ของ SABINA ลดลง โดยบริษัทฯ ได้วางแผนรับมือและรุกปรับรูปแบบการขายด้วยการทำตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนช่องทางขายออนไลน์ในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 8 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 13 ในปี 2567 และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังวางแผนเพิ่มหน้าร้านในช่องทางออฟไลน์เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 49 สโตร์ และปัจจุบันอยู่ที่ 51 สโตร์ โดยเป้าหมายจะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 70 สโตร์ในปีนี้

avatar

TNNThailand