นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวหลังประชุมกับเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ว่า ปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การแข่งขันทางการค้าพ.ศ 2560 ให้เป็นไปตามมาตรฐานโออีซีดี โดยขณะนี้มีการแก้ไขไปแล้วกว่าร้อยละ 50
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 ที่จะต้องเร่งแก้ไข ซึ่งคาดว่าภายใน 5-7 ปีจะสามารถทำให้พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าเป็นไปตามมาตรฐานโออีซีดีได้ ซึ่งการได้มาตรฐานโออีซีดีจะทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลก
ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์และยังมีการผูกขาดภายในประเทศ ทำให้ SME หรือคนรุ่นใหม่ขาดโอกาสในการขยายธุรกิจ และตอนนี้ได้เรียกสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) พูดคุยเพื่อกำหนดบทบาทของตัวเองให้ชัดเจน เพราะว่าในอเมริกา สามารถใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้า สั่งบริษัทขาย หรือยกเลิกได้ ซึ่งเราอยากเห็นอย่างนั้นในประเทศไทย
สรุปข่าว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวหลังประชุมกับเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ว่า ปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การแข่งขันทางการค้าพ.ศ 2560 ให้เป็นไปตามมาตรฐานโออีซีดี โดยขณะนี้มีการแก้ไขไปแล้วกว่าร้อยละ 50
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 ที่จะต้องเร่งแก้ไข ซึ่งคาดว่าภายใน 5-7 ปีจะสามารถทำให้พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าเป็นไปตามมาตรฐานโออีซีดีได้ ซึ่งการได้มาตรฐานโออีซีดีจะทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลก
ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์และยังมีการผูกขาดภายในประเทศ ทำให้ SME หรือคนรุ่นใหม่ขาดโอกาสในการขยายธุรกิจ และตอนนี้ได้เรียกสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) พูดคุยเพื่อกำหนดบทบาทของตัวเองให้ชัดเจน เพราะว่าในอเมริกา สามารถใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้า สั่งบริษัทขาย หรือยกเลิกได้ ซึ่งเราอยากเห็นอย่างนั้นในประเทศไทย
ด้าน ดร.ปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล กรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กล่าวว่า สิ่งที่โอเอซีดี เสนอแนะและอยากให้ไทยปรับปรุงเพื่อให้การแข่งขันมีประสิทธิภาพมีอยู่ 2 ประเด็น ได้แก่ 1.ความโปร่งใส การตัดสินคดีอย่างไร ด้วยหลักกฎหมาย ทำให้คนมีการเชื่อมั่นในการใช้กฎหมายของเรา
และ 2.การกำหนดขอบเขตอำนาจการใช้พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เช่น การตีความให้มีความชัดเจนเพื่อจะได้บังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ
ส่วนกรณีการแก้ไขกฎหมายนั้น จะเป็นการแก้ไขกฎหมายลำดับรองเท่านั้น เช่น กรณียกเว้น ขอบข่ายอำนาจในธุรกิจที่ไม่จดทะเบียนที่ไทยว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดประเทศไทยหรือไม่ ต้องทบทวนว่าสิ่ง ที่ปรากฏในกฎหมาย มีความชัดเจนและเข้าใจตรงกันแล้วหรือยัง โดยเฉพาะการสื่อสารไปยังภาคธุรกิจต้องทำให้เข้มข้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในปีนี้จะออกไกด์ไลน์ หรือ แนวทางปฏิบัติ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารกับภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดการค้าที่โปร่งใส ตามมาตรฐานโออีซีดี
ส่วนกรณีสงครามการค้าที่ยังรุนแรง เราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการแข่งขันในรูปแบบใหม่ๆ
