พิษภาษีทรัมป์! "Adidas-Puma" จ่อขึ้นราคา ตามรอย "Nike" l การตลาดเงินล้าน

Adidas และ Puma สองแบรนด์กีฬาใหญ่จากเยอรมนี กำลังพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ตามรอย Nike ซึ่งเพิ่งประกาศขึ้นราคาสินค้าบางประเภทสูงสุดถึง 10 ดอลลาร์ โดยเฉพาะรองเท้าราคากว่า 150 ดอลลาร์ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ บังคับใช้ในขณะนี้

Nike ซึ่งเป็นแบรนด์กีฬาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากยอดขายและมูลค่าตลาด ระบุว่าการปรับขึ้นราคาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดตามฤดูกาล และไม่ได้กล่าวถึงภาษีโดยตรง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและนักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าสาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

สรุปข่าว

Adidas และ Puma เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้ากีฬาในสหรัฐฯ หลัง Nike ขยับราคานำร่อง สะท้อนผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กดดันต้นทุนของแบรนด์กีฬาใหญ่ทั่วโลก

Adidas และ Puma สองแบรนด์กีฬาใหญ่จากเยอรมนี กำลังพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ตามรอย Nike ซึ่งเพิ่งประกาศขึ้นราคาสินค้าบางประเภทสูงสุดถึง 10 ดอลลาร์ โดยเฉพาะรองเท้าราคากว่า 150 ดอลลาร์ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ บังคับใช้ในขณะนี้

Nike ซึ่งเป็นแบรนด์กีฬาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากยอดขายและมูลค่าตลาด ระบุว่าการปรับขึ้นราคาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดตามฤดูกาล และไม่ได้กล่าวถึงภาษีโดยตรง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและนักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าสาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากนโยบายภาษีใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปที่อัตราร้อยละ 10 และสำหรับสินค้าจากจีนมีอัตราภาษีสูงถึงร้อยละ 30 ที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือการที่เวียดนาม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตรองเท้าและเสื้อผ้าสำคัญ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าอัตราสูงถึงร้อยละ 46 ที่อาจเริ่มบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้

Robert Krankowski นักวิเคราะห์จาก UBS กล่าวว่า นี่คือช่วงเวลาที่ Adidas และ Puma รออยู่ โดยทั้งสองแบรนด์เคยประกาศไว้ว่าจะไม่เป็นผู้ริเริ่มขึ้นราคาก่อน และจะจับตาดูท่าทีของคู่แข่งอย่างใกล้ชิด

Federico Borin นักวิเคราะห์จาก Janus Henderson กล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว เมื่อแบรนด์ผู้นำเริ่มปรับราคา แบรนด์อื่นก็มักจะทำตามในไม่ช้า" อย่างไรก็ตาม ระดับราคาที่แบรนด์อื่นจะปรับเพิ่ม ขึ้นอยู่กับการประเมินพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ และความต้องการของสินค้าแต่ละรุ่น

Adidas ที่มียอดขายเติบโตอย่างโดดเด่นจากรองเท้าวินเทจยอดนิยมอย่าง Samba ($100) และ Gazelle ($120) มีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นราคาได้โดยไม่กระทบต่อความต้องการมากนัก ขณะที่ Puma ซึ่งยอดขายในสหรัฐฯ ชะลอตัว อาจมีพื้นที่จำกัดในการปรับราคา โดยเฉพาะรองเท้ารุ่น Speedcat ที่ตั้งเป้าขาย 4-6 ล้านคู่ในปีนี้ แต่ยอดขายกลับต่ำกว่าที่คาดไว้

Simon Jaeger ผู้จัดการพอร์ตจาก Flossbach von Storch ซึ่งถือหุ้นทั้งใน Adidas และ Nike ชี้ว่า แม้การขึ้นราคาของ Nike จะอยู่ในระดับที่พอรับได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือภาวะการบริโภคในสหรัฐฯ ที่ไม่แข็งแกร่งเท่าในอดีต โดยข้อมูลจาก University of Michigan ระบุว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมลดลงอีกครั้ง ขณะที่ความคาดหวังด้านเงินเฟ้อกลับเพิ่มสูงขึ้น

นักวิเคราะห์ยังเตือนว่าในสภาพตลาดที่ความต้องการไม่แน่นอน แบรนด์กีฬาต้องบริหารจัดการสต๊อกอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการล้นตลาดซึ่งอาจนำไปสู่การลดราคาในภายหลัง

สำหรับแบรนด์อื่นอย่าง On ที่เน้นรองเท้าวิ่งระดับพรีเมียม โดยมีราคาขายตั้งแต่ 130 ดอลลาร์ขึ้นไป ก็ประกาศเตรียมขึ้นราคาสินค้าบางรุ่นในเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ระดับพรีเมียมทั่วโลก ไม่ใช่การตอบสนองต่อภาษีนำเข้าโดยตรง

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่อุตสาหกรรมสินค้ากีฬาต้องเผชิญ จากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และการปรับตัวของแต่ละแบรนด์ต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกในปี 2025 ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด