สภาธุรกิจตลาดทุนเชื่อภาษี 36% ฉุดตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรง ชี้ 25% ธุรกิจรับได้

สภาธุรกิจตลาดทุนเชื่อภาษี 36% ฉุดตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรง ชี้ 25% ธุรกิจรับได้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการชึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐกับไทยที่ 36%  ต่อตลาดหุ้นไทยอาจไม่รุนแรงหรือร่วงลงถล่มทลาย เนื่องจากตลาดรับรู้ข่าวผลกระทบมาต่อเนื่องตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศครั้งแรงมาตั้งแต่ 2 เม.ย. 2568 ซึ่งนักลงทุน รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องก็พยามปรับตัวมาต่อเนื่อง และหากภาพผลกระทบตลาดทุนทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐไม่รุนแรง ทรัมป์น่าจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป 


อย่างไรก็ดี จากสิ่งที่เกิดขึ้นไทยน่าจะมีทางเลือกใน 3 ทาง คือ ยอมรับภาษีที่ 36% กลับไปเจรเพิ่มให้ได้ที่ประมาณ 25% และเดินตามเวียดนามทำให้ได้ 20% ซึ่งไทยเาหน้าจะเดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง ยังต้องติดตามผลในมท้ายที่สุด จึงเชื่อว่ารอบนี้ตลาดหุ้นจะไปไม่ผันผวนเท่าครั้งแรกที่สหรัฐประกาศ อย่างไรก็ดี หากไม่มีเปลี่ยนแปลงจาก 36% จะกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาคส่งออก , SMEs ในประเทศ และการรลงทุนโดยตรงที่จะเข้ามาในประเทศไทย ภาวะที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดกับภาคเศรษฐกิจจริงมากกว่าตลาดทุน แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะขสยสุทธิหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและล่าสุดในต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติจะขายสุทธิที่ 7.8 หมื่นล้านบาทแล้วก็ตม ในระยะถัดไปน่าจะขายออกไม่รุนแรง แต่อาจเห็นภาพการขายหรือทยอยขาย 

สรุปข่าว

สภาธุรกิจตลาดทุนไทยประเมินผลกระทบภาษีสหรัฐคิดไป 36% กระทบตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรงเท่ากับครั้งแรกที่สหรัฐประกาศครั้งแรก แต่รอบนี้จะกระทบภาคเศรษฐกิจจริงของไทยใน 3 ด้าน เชื่อ 25% ตลาดทุนรับไหว วอนรัฐบาลดูแลใน 3 ส่วนสำคัญ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและวอนธปท.ลดดอกเบี้ยช่วยอีกแรง คาดปี 2568 หลังภาษีชัดคาด GDP โตที่ 1.5-2%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการชึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐกับไทยที่ 36%  ต่อตลาดหุ้นไทยอาจไม่รุนแรงหรือร่วงลงถล่มทลาย เนื่องจากตลาดรับรู้ข่าวผลกระทบมาต่อเนื่องตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศครั้งแรงมาตั้งแต่ 2 เม.ย. 2568 ซึ่งนักลงทุน รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องก็พยามปรับตัวมาต่อเนื่อง และหากภาพผลกระทบตลาดทุนทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐไม่รุนแรง ทรัมป์น่าจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป 


อย่างไรก็ดี จากสิ่งที่เกิดขึ้นไทยน่าจะมีทางเลือกใน 3 ทาง คือ ยอมรับภาษีที่ 36% กลับไปเจรเพิ่มให้ได้ที่ประมาณ 25% และเดินตามเวียดนามทำให้ได้ 20% ซึ่งไทยเาหน้าจะเดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง ยังต้องติดตามผลในมท้ายที่สุด จึงเชื่อว่ารอบนี้ตลาดหุ้นจะไปไม่ผันผวนเท่าครั้งแรกที่สหรัฐประกาศ อย่างไรก็ดี หากไม่มีเปลี่ยนแปลงจาก 36% จะกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาคส่งออก , SMEs ในประเทศ และการรลงทุนโดยตรงที่จะเข้ามาในประเทศไทย ภาวะที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดกับภาคเศรษฐกิจจริงมากกว่าตลาดทุน แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะขสยสุทธิหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและล่าสุดในต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติจะขายสุทธิที่ 7.8 หมื่นล้านบาทแล้วก็ตม ในระยะถัดไปน่าจะขายออกไม่รุนแรง แต่อาจเห็นภาพการขายหรือทยอยขาย 

ส่วนภาวะนี้ ถามว่าตลาดทุนอยากได้อะไรจากการการดุแลของภาครัฐนั้น มองว่าอัตาภาษีที่ไทยถูกคิด 25% ภาคธุกิจน่าจะพอรับได้ เพราะอัตรานี้สูงกว่าเวียดนาม 5% (จากที่เวียดนามได้ 20%) แต่อัตราที่ไทยได้ต่ำกว่ามาเลเชียที่ 40% แต่ยังต้องดูว่าไทยจะต่ำกว่าจีน ยุโรป ญี่ปุ่น และอินเดีย ได้หรือไม่ ซึ่งคาดว่าสหรัฐจะทยอยปิดดีลกับคู่ค้าที่เป็นประเทศรายใหญ่ในเร็วๆ นี้ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลักษาโมเมนตัมของการเติบโตทางเศรษฐกิจ รักษความเชื่อมั่นนักลงทุน และรักษาความสงบทางการเมืองหรือความขัดแย้งทางการเมืองห้อยู่ในกรอบ 


ขณะเดียวกันก็อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วดีกว่าปรับลงช้า เพราะดอกเบี้ยที่ลดลงจะเข้ามาช่วยลดความเฉื่อยของผลกระทบที่จะเข้ามากระทบช่วยให้เศรษฐกิจยังพอไปได้ ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้น่าจะขยายตัวลดลงจากที่คาดไว้ราว 1.5 - 2% ซึ่งลดลงจาก 3% ที่คาดไว้ต้นปี และการดูแลเศรษฐกิจจริงให้ๆทยไปได้ต้องหาตลาดใหม่มาแทนสหรัฐจากปัจจุบันอยู่ที่ 18% ต้องลดสัดส่วนให้เหลือครึ่งหนึ่งให้กระจายความเสี่ยงและต่อรองกับสหรัฐได้มากขึ้น เช่น จีน อินเดีย หรือตลาดอื่นๆ ที่อาจเติบโตได้ดีกว่า เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐลง  

ที่มาข้อมูล : สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

ที่มารูปภาพ : TNN