ตามรายงานของ นิเคอิ และ สื่อเว็บไซต์ อินไซด์รีเทล เผยว่า ยอดขายภายในประเทศของ ยูนิโคล่ ซึ่งอยู่ในกลุ่มบริษัท Fast Retailing สำหรับปีบัญชี สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ปี 2025 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยยอดขายกว่า 1.03 ล้านล้านเยน หรือเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถือเป็นบริษัทเครื่องแต่งกายรายแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถทำยอดขายในประเทศ ทะลุ 1 ล้านล้านเยน ได้
ยอดขายดังกล่าวมาจากสาขาร้านในประเทศ และรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ รวมถึงแฟรนไชส์อีก 10 สาขา ซึ่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2025 ยูนิโคล่ มีจำนวนร้านค้าในญี่ปุ่น จำนวน 784 สาขา หลังจากเปิดตัวสาขาแรกที่เมือง ฮิโรชิมา เมื่อ 41 ปีที่แล้ว
รายงานข่าว ระบุว่า ยูนิโคล่ มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปี 2022 (ตามปีบัญชีของบริษัทฯ) ด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือการปรับกลยุทธ์เกี่ยวกับร้านค้าใหม่ และการพัฒนาสินค้าด้วย เดต้า
ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัท Fast Retailing ได้ปิดร้าน ยูนิโคล่ จำนวน 30 สาขาทั่วประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ได้มีการเพิ่มพื้นที่ขายของสาขา เฉลี่ยต่อสาขาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 ซึ่งการมีพื้นที่ค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สามารถจัดแสดงสินค้าได้มากขึ้น และกระตุ้นความต้องการซื้อ ส่งผลให้ยอดขายเฉลี่ยต่อร้าน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13
สรุปข่าว
ตามรายงานของ นิเคอิ และ สื่อเว็บไซต์ อินไซด์รีเทล เผยว่า ยอดขายภายในประเทศของ ยูนิโคล่ ซึ่งอยู่ในกลุ่มบริษัท Fast Retailing สำหรับปีบัญชี สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ปี 2025 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยยอดขายกว่า 1.03 ล้านล้านเยน หรือเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถือเป็นบริษัทเครื่องแต่งกายรายแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถทำยอดขายในประเทศ ทะลุ 1 ล้านล้านเยน ได้
ยอดขายดังกล่าวมาจากสาขาร้านในประเทศ และรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ รวมถึงแฟรนไชส์อีก 10 สาขา ซึ่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2025 ยูนิโคล่ มีจำนวนร้านค้าในญี่ปุ่น จำนวน 784 สาขา หลังจากเปิดตัวสาขาแรกที่เมือง ฮิโรชิมา เมื่อ 41 ปีที่แล้ว
รายงานข่าว ระบุว่า ยูนิโคล่ มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปี 2022 (ตามปีบัญชีของบริษัทฯ) ด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือการปรับกลยุทธ์เกี่ยวกับร้านค้าใหม่ และการพัฒนาสินค้าด้วย เดต้า
ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัท Fast Retailing ได้ปิดร้าน ยูนิโคล่ จำนวน 30 สาขาทั่วประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ได้มีการเพิ่มพื้นที่ขายของสาขา เฉลี่ยต่อสาขาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 ซึ่งการมีพื้นที่ค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สามารถจัดแสดงสินค้าได้มากขึ้น และกระตุ้นความต้องการซื้อ ส่งผลให้ยอดขายเฉลี่ยต่อร้าน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13
ด้านสินค้า ดำเนินการมาต่อเนื่องหลังจากเปิดตัว Management Cockpit ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เก็บข้อมูลการรีวิวสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ และความคิดเห็นของลูกค้าจากศูนย์บริการ และนำข้อมูลมาดังกล่าว ไปใช้เพื่อปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่ และพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงการใช้ เดต้า เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นย่ำ
แพลตฟอร์ม Management Cockpit ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2023 นั้น ช่วยให้บริษัทดังกล่าว สามารถผลิตสินค้าที่มีความต้องการสูงได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงลดระยะเวลาการนำสินค้าออกจำหน่าย และหลีกเลี่ยงสินค้าที่ขายไม่ออกด้วยการลดสินค้าที่มีความต้องการต่ำลง
สำหรับภาพรวมของบริษัท ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ตามปีบัญชี 2025 จะเติบโตที่ร้อยละ 10 โดยมีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 3 ล้าน 4 แสน ล้านเยน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็นสถิติสูงสุดที่ 410,000 ล้านเยน อีกด้วย
ปัจจุบัน ฟาสต์ รีเทลลิ่ง ยังเป็นบริษัทในกลุ่มเครื่องแต่งกายที่มียอดขายสูงสุด ติดอันดับ 3 ของโลก รองจาก Inditex และ H&M
ข้อมูล 5 อันดับแรกบริษัทผู้ผลิตและร้านค้าปลีก ในกลุ่มแฟชัน เครื่องแต่งกายที่มียอดขายสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีขึ้น
อันดับ 1 คือ Inditex จากสเปน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ ZARA งวดปีบัญชีที่สิ้นสุดเดือน มกราคม 2025 รายงานยอดขายอยู่ที่ 40,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ปีก่อนหน้า
ส่วน H&M Hennes & Mauritz จากสวีเดน อยู่อันดับ 2 งวดปีบัญชีสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2024 มียอดขาย 21,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อนหน้า
อันดับ 3 ก็คือ บริษัท FAST RETAILING CO บริษัทแม่ของยูนิโคล่ งวดปีบัญชีสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2024 มียอดขายอยู่ที่ 20,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ใกล้เคียงอันดับ 2) คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 จากปีก่อน
มาที่อันดับ 4 คือ GAP จากสหรัฐฯ ปีบัญชีงวดสิ้นสุด เดือนกุมภาพันธ์ 2025 มียอดขายอยู่ที่ 15,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3
และอันดับ 5 คือ lululemon athletica จากสหรัฐฯ ปีบัญชี งวดสิ้นสุดมกราคม 2025 มียอดขายจำนวน 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1
นอกจากนี้ ยูนิโคล่ ยังถูกจับตามองในฐานะแบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลก เห็นได้จาก รายงานล่าสุดของบริษัทที่ปรึกษาด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก Brand Finance ที่จัดอันดับแบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลก พบว่า ยูนิโคล่ เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเพียงรายเดียวที่อยู่ในการจัดอันดับดังกล่าว และยังคงรักษาตำแหน่งเดิมไว้ได้ที่อันดับ 11 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
โดย Brand Finance รายงานข้อมูลวิจัยตลาด เมื่อต้นเดือนกันยายน 2025 ที่ผ่านมา ระบุว่า ยูนิโคล่ มีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เป็น 10,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมูลค่าแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น ได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ ผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความต้องการที่เพิ่มขึ้นในระดับนานาชาติ
ขณะเดียวกัน ยูนิโคล่ ยังสามารถขยายตัวในระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีคะแนนดัชนีความแข็งแกร่งของแบรนด์อยู่ที่ อยู่ที่ 68.5 จาก 100 คะแนน และได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ระดับ AA- (เอเอ ลบ)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าคะแนน ดัชนีความแข็งแกร่งจะลดลงจากครั้งก่อน แต่แบรนด์ยังคงโดดเด่นในสายตาผู้บริโภค ด้วยภาพลักษณ์และชื่อเสียง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และแรงส่งนี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษในตลาดญี่ปุ่น ซึ่งแบรนด์ยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้าน อเล็กซ์ ไฮ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ แบรนด์ ไฟแนนซ์ ให้ความเห็นว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่องของ ยูนิโคล่ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านเกิด กับการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอย่างมุ่งมั่น ด้วยการผสานความคุ้มค่า คุณภาพ และนวัตกรรม ซึ่งแบรนด์นี้ได้สร้างสถานะที่โดดเด่นและเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก
นอกจากพูดถึง ยูนิโคล่แล้ว แบรนด์อื่น ๆ ตามรายงานการจัดอันดับแบรนด์เครื่องแต่งกาย ในปี 2025 ของแบรนด์ ไฟแนนซ์ นั้น พบว่า Chanel แซงหน้า Louis Vuitton ขึ้นเป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยมูลค่าแบรนด์ของ Chanel เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เป็น 37,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วน Louis Vuitton อันดับ 2 มูลค่าแบรนด์อยู่ที่ 32,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และที่ 3 คือ Nike มีมูลค่าแบรนด์อยู่ที่ 29,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ Nike เป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ด้วยคะแนนความแข็งแกร่ง 94.7 จาก 100 คะแนน
ขณะที่ Reebok ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา จากสหราชอาณาจักร เป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2025 โดยมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 79 เป็นจำนวน 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
