“ธนาคารโลก” (World Bank) เพิ่งเผยแพร่ “รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย” (Thailand Country Climate and Development Report) ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนามานานหลายทศวรรษ โดยเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทั้งนี้ ระหว่างปี 2523-2562 ไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย ถึงจะตามหลังเวียดนามก็ตาม แต่เป้าหมายของไทยที่จะขยับสู่การเป็นประเทศรายได้สูงยังคงเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการลงทุนที่ชะลอตัว การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างจากการพึ่งพาภาคเกษตรกรรมไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างล่าช้า การกีดกันการค้าเพิ่มขึ้นจนกระทบการส่งออก และการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รายได้และความมั่งคั่งยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พื้นที่อื่น ๆ ยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนา
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยไทยติดอันดับ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากน้ำท่วมในเขตเมืองที่ติดอันดับแถวหน้าของโลก ทั้งนี้ ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมมากที่สุดในโลก และคาดว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะรุนแรงขึ้น โดยลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรร้อยละ 40 และคิดเป็นร้อยละ 78 ของแรงงานทั้งหมด มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 66 ของ GDP จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น กรณีน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 สร้างความเสียหายคิดเป็นร้อยละ 12.6 ของ GDP

นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ของไทยยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ การกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตร การผลิต และการท่องเที่ยว ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ชายฝั่งของไทยร้อยละ 30 เผชิญปัญหากากัดเซาะ ส่งผลให้สูญเสียพื้นที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ไม่รวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเสียหายอื่น ๆ เมื่อใช้แบบจำลองประเมินความเสียหายด้านการท่องเที่ยวน่าจะสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ภายในกลางทศวรรษ 2040 หากไม่มีการปรับแผนรับมือเรื่องนี้ที่เป็นความเสี่ยงหลัก
แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็ยังอยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ โดยไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปี (per capita) อยู่ที่ 6.3 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 ในระหว่างปี 2554-2564 ในขณะที่จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 9.1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และขยายตัวร้อยละ 2.22 ในช่วงเดียวกัน ส่วนเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.45 ด้านกัมพูชาและอินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าไทย แถมมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง สำหรับสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปีมากถึง 16.8 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ไทยยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง และอุตสาหกรรมหนัก ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างในอุตสาหกรรมสำคัญ และการลงทุนจำนวนมากเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การนำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพมาใช้จะมีส่วนสำคัญ เพราะจะกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ตระหนักถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงนำไปสู่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนและการบริโภค การสร้างรายได้เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมสีเขียว แต่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหากปราศจากการปฏิรูปและการลงทุนอื่น ๆ
สรุปข่าว
“ธนาคารโลก” (World Bank) เพิ่งเผยแพร่ “รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย” (Thailand Country Climate and Development Report) ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนามานานหลายทศวรรษ โดยเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมและขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทั้งนี้ ระหว่างปี 2523-2562 ไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซีย ถึงจะตามหลังเวียดนามก็ตาม แต่เป้าหมายของไทยที่จะขยับสู่การเป็นประเทศรายได้สูงยังคงเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการลงทุนที่ชะลอตัว การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างจากการพึ่งพาภาคเกษตรกรรมไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มเป็นไปอย่างล่าช้า การกีดกันการค้าเพิ่มขึ้นจนกระทบการส่งออก และการเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รายได้และความมั่งคั่งยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พื้นที่อื่น ๆ ยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนา
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยไทยติดอันดับ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะความเสี่ยงจากน้ำท่วมในเขตเมืองที่ติดอันดับแถวหน้าของโลก ทั้งนี้ ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมมากที่สุดในโลก และคาดว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะรุนแรงขึ้น โดยลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรร้อยละ 40 และคิดเป็นร้อยละ 78 ของแรงงานทั้งหมด มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 66 ของ GDP จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น กรณีน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 สร้างความเสียหายคิดเป็นร้อยละ 12.6 ของ GDP

นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ของไทยยังมีความเสี่ยงจากภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ การกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งกระทบต่อภาคการเกษตร การผลิต และการท่องเที่ยว ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ชายฝั่งของไทยร้อยละ 30 เผชิญปัญหากากัดเซาะ ส่งผลให้สูญเสียพื้นที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ไม่รวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเสียหายอื่น ๆ เมื่อใช้แบบจำลองประเมินความเสียหายด้านการท่องเที่ยวน่าจะสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ภายในกลางทศวรรษ 2040 หากไม่มีการปรับแผนรับมือเรื่องนี้ที่เป็นความเสี่ยงหลัก
แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็ยังอยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ โดยไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปี (per capita) อยู่ที่ 6.3 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 ในระหว่างปี 2554-2564 ในขณะที่จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 9.1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และขยายตัวร้อยละ 2.22 ในช่วงเดียวกัน ส่วนเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.45 ด้านกัมพูชาและอินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าไทย แถมมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง สำหรับสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อคนต่อปีมากถึง 16.8 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ไทยยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง และอุตสาหกรรมหนัก ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างในอุตสาหกรรมสำคัญ และการลงทุนจำนวนมากเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียน การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การนำกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพมาใช้จะมีส่วนสำคัญ เพราะจะกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ตระหนักถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงนำไปสู่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนและการบริโภค การสร้างรายได้เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมสีเขียว แต่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหากปราศจากการปฏิรูปและการลงทุนอื่น ๆ
น่าสังเกตว่า รูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกของไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น ยกเว้นไทยจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดความเสี่ยงและคว้าโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยชะลอตัวลง ประกอบกับภูมิทัศน์การค้าโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งจากลัทธิกีดกันทางการค้า กฎระเบียบด้านการค้าที่แยกยิบย่อย และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งกระทบต่อการเข้าถึงตลาดและความสามารถในการแข่งขันของไทย ขณะที่การเร่งตัวของเทคโนโลยีหลังวิกฤตโควิด ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กำลังพลิกโฉมการผลิตและการค้าโลกไปจากเดิม ความต้องการสินค้าและบริการคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกสะท้อนว่า ความสามารถด้านการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ไทยตั้งเป้าหมายที่จะขยับสู่การเป็นเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประเทศรายได้สูง ภายในปี 2580 ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ระหว่างปี 2561-2580 ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องผลักดันให้ GDP ขยายตัวอย่างยั่งยืนประมาณร้อยละ 5 ต่อปี ในช่วง 13 ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นเกือบเท่าตัวของอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.6 นับตั้งแต่ปี 2553

รายงานเตือนว่า หากไม่มีการปรับตัวอย่างจริงจัง ผลกระทบทางกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ GDP ของไทยลดลงร้อยละ 7–14 ภายในปี 2593 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า เท่ากับการมุ่งสู่ประเทศรายได้สูงจะกลายเป็นความฝันที่ไกลออกไป เพราะต้องการการขยายตัวของ GDP เฉลี่ยร้อยละ 5 นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ผลกระทบทางเศรษฐกิจในบางปีอาจจะมีมูลค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียเฉลี่ยต่อปีที่เคยประเมินไว้
โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกรณีน้ำท่วมเนื่องจากการทรุดตัวของแผ่นดินในเขตกรุงเทพฯ และชานเมือง ซึ่งผลกระทบจะรุนแรงขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและความรุนแรงของพายุที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แม้ว่ารายงานฉบับนี้จะไม่ได้นำกรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ มาคำนวณในแบบจำลอง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เนื่องจากคนไทยราว 1 ใน 4 อาจได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่เขตเมืองหลวงมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศ ขณะที่ผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มยากจนและกลุ่มเปราะบางจะรุนแรงที่สุด พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำและเสี่ยงต่อน้ำท่วมของไทยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ยากจนที่สุดเช่นกัน พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะการพึ่งพาการเกษตรและการประมงที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศร้อนและภัยแล้งมากเป็นพิเศษ
ไทยตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เดิมทีไทยตั้งเป้าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2608 แต่รัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งประกาศปรับเป้าหมายให้เร็วขึ้น 15 ปี หรือต้องการบรรลุผลภายในปี 2593 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย และส่งสัญญาณชัดเจนว่า นี่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ไม่ใช่แค่ทางเลือก

ภายใต้ฉากทัศน์ของการเร่งลดการปล่อยคาร์บอน ไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับคุณภาพอากาศและสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่ไปกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้อย่างแพร่หลาย และการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ส่งผลให้มลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย อาทิ ฝุ่น PM2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคพลังงานและการขนส่ง นอกจากนี้ หากลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ร้อยละ 83 อาจช่วยป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 15,000 คนต่อปี ภายในปี 2593
ภายใต้สถานการณ์การเร่งลดการปล่อยคาร์บอนจะช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย รายงานประเมินว่า GDP ของไทยจะสูงขึ้นร้อยละ 2.5 ในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ฐานที่ไม่มีการลงมือทำอะไร ซึ่งในระยะสั้น การเติบโตของ GDP ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในโครงการพลังงานหมุนเวียน ส่วนในระยะยาว การเติบโตของ GDP ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากราคาพลังงานหมุนเวียนที่ถูกลง และการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียจากการไม่ทำอะไรเลยมีมูลค่าสูงกว่าการลงทุนเพื่อรับมือโลกร้อน โดยการลงทุนในโครงการป้องกันและบรรเทาภัยน้ำท่วม การปกป้องชายฝั่ง การสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีทำความเย็นอาจเพิ่ม GDP ได้ร้อยละ 2-3 ภายในปี 2583 และร้อยละ 4–5 ต่อปี ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ โดยหากคิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปีจะสูงกว่าร้อยละ 1 ของ GDP เพียงเล็กน้อย ขณะที่ไทยจะได้รับประโยชน์มากขึ้นกว่านี้ หากการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศได้

ไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคที่พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างกรณีของจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลก โดยมีสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น รวมถึงจดสิทธิบัตรด้านพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและการแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ช่วยลดต้นทุนและขยายการเข้าถึงตลาด อย่างกรณีการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในเวียดนาม และการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย ซึ่งสะท้อนว่า ประเทศในภูมิภาคนี้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าการส่งออกสินค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมของไทยจะเติบโต แต่จากข้อมูลในปี 2566 ไทยยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านและผู้ส่งออกรายใหญ่ อาทิ จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ความต้องการเทคโนโลยีเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับไทย ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้นำในการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ร้อยละ 4 ของตลาดโลก ทั้งนี้ การเพิ่มการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน อาจช่วยเพิ่ม GDP ของไทยได้อีกร้อยละ 2–3 ภายในปี 2573
ไทยจะต้องใช้เงินลงทุนเพื่อรรับมือกับโลกร้อนตลอด 25 ปีข้างหน้า ราว 2.19 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.4 ของ GDP สะสม ซึ่งไทยสามารถดำเนินการผ่านกลไกกำหนดราคาคาร์บอน ควบคู่กับการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีที่ดิน ประกอบกับการระดมทุนในส่วนของภาคเอกชน
- ภัยพิบัติจากโลกร้อน ท้าทายเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกชี้ต้องเร่งปรับตัว
- สหรัฐฯ เผชิญ “ฤดูร้อนโหด” ภาวะโลกร้อนทำอุณหภูมิพุ่ง
- ยุโรปกำลังสูญเสียพื้นที่สีเขียว เท่าสนามบอล 600 สนามต่อวัน
- GDP "เวียดนาม"ไตรมาส 3 โตร้อยละ 8.22
- โรงเรียนในสหรัฐฯ หวั่นวิตก ไม่พร้อมรับมือกับโลกร้อน ภัยพิบัติคุกคามนักเรียนและโครงสร้าง
