"คนละครึ่งพลัส"ดันค้าปลีกโตร้อยละ 10

"คนละครึ่งพลัส"ดันค้าปลีกโตร้อยละ 10

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยถึงมาตรการคนละครึ่งพลัสว่า เป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด ช่วยให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 0.21-0.22 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ มาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี

โดยจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยจัดทำร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม-ธันวาคม 2568) มีแนวโน้มปรับตัวสูงสุดของปี ทำสถิติ New High ในรอบ 12 เดือน จาก 52.4 จุด มาอยู่ที่ 63.8 จุด 


สรุปข่าว

ค้าปลีกคาด "คนละครึ่งพลัส" ดันยอดขายโตร้อยละ 10 โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมแนะฟื่น "ช้อปดีมีคืน" คาดช่วยทำให้มีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยถึงมาตรการคนละครึ่งพลัสว่า เป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด ช่วยให้จีดีพีขยายตัวร้อยละ 0.21-0.22 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ มาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี

โดยจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยจัดทำร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม-ธันวาคม 2568) มีแนวโน้มปรับตัวสูงสุดของปี ทำสถิติ New High ในรอบ 12 เดือน จาก 52.4 จุด มาอยู่ที่ 63.8 จุด 


สะท้อนถึงผู้ประกอบการค้าปลีกมีความมั่นใจและความหวังที่ดีกับรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงปัจจัยหนุนสำคัญทั้งการเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปี ผู้ประกอบการค้าปลีกคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส จะเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 10 โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านค้าในต่างจังหวัด

นายณัฐ กล่าวว่า ในเฟสถัดไปของโครงการ "คนละครึ่ง" ภาครัฐควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าทุกขนาดเข้าร่วมได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าอย่างทั่วถึงและเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น 


โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ โครงการคนละครึ่ง พลัส จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคค้าปลีกได้กว่า 60,000-70,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ สมาคมขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเดินหน้าโครงการ Easy E-Receipt หรือช้อปดีมีคืน อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงไฮซีซั่น

โดยเสนอให้ปรับเงื่อนไขการเข้าร่วมให้สะดวกขึ้น และครอบคลุมสินค้าทุกประเภทภายในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท คาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN