ร้านค้าชี้คนละครึ่งชนะขาดกระตุ้นใช้จ่าย

Share on Line Share on Facebook Share on X

นางสาวฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า โครงการ "เที่ยวดีมีคืน" ทำให้ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมเริ่มคึกคักขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับผลของ "คนละครึ่ง พลัส" ที่เห็นเม็ดเงินใช้จ่ายได้ทันทีผ่านระบบของกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย และแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ขณะที่ "เที่ยวดีมีคืน" ต้องรอการคืนภาษีก่อนประชาชนจะรับรู้ถึงผลประโยชน์ จึงยังไม่สามารถวัดการใช้จ่ายได้ชัดเจน          

ทั้งนี้ "เที่ยวดีมีคืน" ช่วยกระตุ้นผู้มีรายได้สูงให้กล้าใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่จะเลือกใช้กับร้านอาหารหรือโรงแรมราคาสูง เพื่อให้คุ้มค่ากับสิทธิในการลดหย่อนภาษี ขณะที่คนฐานรากได้อานิสงส์จาก "คนละครึ่ง พลัส" ทำให้ร้านค้าที่ตอบโจทย์ทั้งสองกลุ่มแยกชัดเจน ส่วนร้านระดับกลางอาจยังไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร       



สรุปข่าว

สมาคมภัตตาคารไทย เผย "คนละครึ่ง พลัส" ชนะขาด กระตุ้นคนใช้จ่ายคึกคัก ส่วน "เที่ยวดีมีคืน" ยังไม่เห็นผลชัด

นางสาวฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า โครงการ "เที่ยวดีมีคืน" ทำให้ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมเริ่มคึกคักขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับผลของ "คนละครึ่ง พลัส" ที่เห็นเม็ดเงินใช้จ่ายได้ทันทีผ่านระบบของกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย และแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ขณะที่ "เที่ยวดีมีคืน" ต้องรอการคืนภาษีก่อนประชาชนจะรับรู้ถึงผลประโยชน์ จึงยังไม่สามารถวัดการใช้จ่ายได้ชัดเจน          

ทั้งนี้ "เที่ยวดีมีคืน" ช่วยกระตุ้นผู้มีรายได้สูงให้กล้าใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่จะเลือกใช้กับร้านอาหารหรือโรงแรมราคาสูง เพื่อให้คุ้มค่ากับสิทธิในการลดหย่อนภาษี ขณะที่คนฐานรากได้อานิสงส์จาก "คนละครึ่ง พลัส" ทำให้ร้านค้าที่ตอบโจทย์ทั้งสองกลุ่มแยกชัดเจน ส่วนร้านระดับกลางอาจยังไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร       



ขณะที่ผู้ประกอบการเห็นว่าโครงการได้ปรับตัวเป็น "กินดีมีคืน" มากกว่า เพราะคนใช้สิทธิเน้นการรับประทานอาหารในเมืองหลักเป็นหลัก ส่วนเมืองรองอาจคึกคักน้อย เนื่องจากมีร้านอาหารและโรงแรมจำกัด แต่รัฐบาลตั้งใจให้เกิดการกระจายการใช้จ่ายไปยังเมืองรองด้วย ซึ่งยังต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจสิทธิประโยชน์มากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม


นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้จ่ายตามสิทธิ จำนวน 463,743 คนขณะที่มีการใช้จ่ายตามสิทธิไปแล้วกว่า 19 ล้านคน จากยอดมีผู้สิทธิทั้งสิ้น 20 ล้านคน จึงอยากให้กลุ่มนี้ เริ่มใช้จ่ายภายในเวลา 23.00 น. ของวันที่ 11 พ.ย. 2568 นี้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ ตามการแจ้งเตือนของธนาคารกรุงไทย

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN