บรรดานักลงทุน พากันเทน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 55 แล้ว ต่อคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของปีนี้ ท่ามกลางความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย ที่ยังไม่สนับสนุนให้เฟด ผ่อนคลายนโยบายการเงิน
โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักร้อยละ 55.4 ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 3.75 - 4.00 ในการประชุมเดือน ธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียงร้อยละ 37.6 ในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนโอกาสที่เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 สู่ระดับร้อยละ 3.50-3.75 ในการประชุมเดือนธ.ค. นั้น นักลงทุนให้น้ำหนักลดลงมาเหลือที่ร้อยละ 44.6 แล้ว ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนักมากถึงร้อยละ 62.4 ในสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย พบว่าต่างเพิ่มน้ำหนักต่อมุมมองที่ว่าโอกาสในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดได้เริ่มลดน้อยลง
อย่างนายอัลแบร์โต มูซาเล็ม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดควรใช้ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายทางการเงิน ขณะที่นางเบธ แฮมแมค ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ระบุว่า นโยบายการเงินที่ยังคงเข้มงวดจะช่วยแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ
ส่วนนายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิส กล่าวว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากที่เขาได้ลงมติคัดค้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
ตอนนี้ นักลงทุนกำลังจับไปที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ เพราะมีกำหนดจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย. รวมทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.30 น.ตามเวลาไทย หลังจากได้เลื่อนการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ อันเนื่องจากภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาลในสหรัฐฯ
สรุปข่าว
บรรดานักลงทุน พากันเทน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 55 แล้ว ต่อคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของปีนี้ ท่ามกลางความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย ที่ยังไม่สนับสนุนให้เฟด ผ่อนคลายนโยบายการเงิน
โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักร้อยละ 55.4 ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 3.75 - 4.00 ในการประชุมเดือน ธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียงร้อยละ 37.6 ในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนโอกาสที่เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 สู่ระดับร้อยละ 3.50-3.75 ในการประชุมเดือนธ.ค. นั้น นักลงทุนให้น้ำหนักลดลงมาเหลือที่ร้อยละ 44.6 แล้ว ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนักมากถึงร้อยละ 62.4 ในสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะที่การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย พบว่าต่างเพิ่มน้ำหนักต่อมุมมองที่ว่าโอกาสในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดได้เริ่มลดน้อยลง
อย่างนายอัลแบร์โต มูซาเล็ม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดควรใช้ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายทางการเงิน ขณะที่นางเบธ แฮมแมค ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ ระบุว่า นโยบายการเงินที่ยังคงเข้มงวดจะช่วยแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ
ส่วนนายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิส กล่าวว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากที่เขาได้ลงมติคัดค้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
ตอนนี้ นักลงทุนกำลังจับไปที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ เพราะมีกำหนดจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย. รวมทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ในวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.30 น.ตามเวลาไทย หลังจากได้เลื่อนการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ อันเนื่องจากภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาลในสหรัฐฯ
ทัวร์จีนระงับขายทริปเยือนญี่ปุ่น เซ่นปมขัดแย้งกรณีไต้หวัน
ความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องจับตา เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยหลังจากที่ทางการจีน ออกแถลงการณ์เตือนพลเมืองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ล่าสุด บรรดาบริษัททัวร์จีน ก็เริ่มระงับการขายทริปเยือนญี่ปุ่นแล้ว
แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเปิดเผยว่า บริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ของจีนหลายแห่ง ได้ระงับการจำหน่ายแพ็กเกจทัวร์สำหรับเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว หลังรัฐบาลจีนแนะพลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความขัดแย้งทางการทูตที่ทวีความรุนแรงขึ้นในประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน
รอยร้าวในความสัมพันธ์ทวิภาคีล่าสุดนี้ มีชนวนมาจากการแสดงความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรี "ซานาเอะ ทากาอิจิ" ของญี่ปุ่นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการตอบสนองของญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในไต้หวัน ก่อนที่กระทรวงต่างประเทศของจีนระบุว่า ถ้อยแถลงที่ "ยั่วยุ" ของผู้นำญี่ปุ่น ได้ทำให้ "บรรยากาศของการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่ายย่ำแย่ลงอย่างหนัก ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยของชาวจีน" ในญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี มีรายงานระบุว่า "มาซาอากิ คานาอิ" ผู้อำนวยการสำนักกิจการเอเชียและโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เดินทางไปยังจีนแล้วในวันจันทร์ (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการทูตที่ทวีความร้อนระอุขึ้น โดยแหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวเกียวโดว่า ในการประชุมที่คาดว่าจะจัดขึ้นในวันอังคาร (18 พ.ย.) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่น จะเน้นย้ำว่า "ทาคาอิจิ" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนของญี่ปุ่นตามที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ร่วมปี 2515 ซึ่งยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวของจีน
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนนั้นถือเป็นสัดส่วนสำคัญของผู้มาเยือนจากต่างประเทศในญี่ปุ่น ข้อมูลจากรัฐบาลญี่ปุ่นชี้ว่า ระหว่างเดือนม.ค.-ก.ย. ปีนี้ มีชาวต่างชาติเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นประมาณ 31.65 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจากจีนราว 7.49 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดเมื่อจำแนกตามประเทศหรือภูมิภาค
"ญี่ปุ่น" ยกเครื่อง "คริปโทเคอร์เรนซี” ลดภาษีกำไรถูกลง
ทางการญี่ปุ่น กำลังวางแผนที่ยกเครื่องกฎระเบียบต่อ "คริปโทเคอร์เรนซี" ครั้งใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเอื้อต่อการลงทุนมาขึ้น โดยกฎระเบียบดังกล่าว รวมไปถึงการปรับลดอัตราภาษีจากกำไรในการซื้อขายด้วย
สำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น (FSA) กำลังพิจารณาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบครั้งใหญ่ ซึ่งจะกำหนดนิยามให้คริปโทเคอร์เรนซีมีสถานะเป็น "ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน" อันจะส่งผลให้คริปโทฯ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ว่าด้วยการใช้ข้อมูลภายในเพื่อซื้อขาย (insider trading) รวมไปถึงการปรับลดอัตราภาษีจากกำไรในการซื้อขาย
รายงานระบุว่า กฎระเบียบดังกล่าวจะครอบคลุมคริปโทฯ จำนวน 105 สกุลที่มีการซื้อขายในญี่ปุ่น เช่น บิตคอยน์และอีเธอเรียม และจะกำหนดให้บรรดากระดานเทรด ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ อาทิ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาด้วย
กฎระเบียบใหม่นี้ จะอนุญาตให้สถาบันการเงินอย่างธนาคารและบริษัทประกันภัย สามารถเสนอขายคริปโทฯ ให้แก่ผู้ฝากเงินและผู้ถือกรมธรรม์ได้ โดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในเครือ
ในขณะที่ผลกำไรที่เกิดจากการทำธุรกรรมคริปโทฯ จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าว นับว่าลดลงจากปัจจุบันซึ่งจัดเก็บในอัตราสูงสุดถึงร้อยละ 55
รายงานยังระบุด้วยว่า สำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น คาดหวังว่าจะสามารถผลักดันให้มีการตราร่างกฎหมายที่จำเป็นได้สำเร็จในสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาปีหน้า
