“FDI” ไทยปรับทิศ ในยุคที่โลกไม่เหมือนเดิม

Share on Line Share on Facebook Share on X

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC วิเคราะห์ “ทิศทางการลงทุนไทย ในยุคที่การลงทุนโลกไม่เหมือนเดิม”  โดยระบุว่า  ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งการประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเร่งให้เกิด 4 กระแสการลงทุนของโลก ได้แก่

 1) Moving to the US : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ เพื่อลดภาระภาษีนำเข้าทั้งจากบริษัทของสหรัฐฯ ที่ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายตลาดในสหรัฐฯ และการลงทุนของประเทศพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ 

2) Global Competitive Relocation : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าประเทศที่ได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA และประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำ

 3) From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น 

และ 4) Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านมาตรการจูงใจที่ทยอยออกมาเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือภูมิภาค

นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด

สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนสำคัญในภูมิภาคอาเซียนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงรัฐบาลทรัมป์1.0 ซึ่งส่งผลบวกให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทยอย่างต่อเนื่อง 

แต่การแพร่ระบาดของวิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งภายหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย กระแสการลงทุนจากต่างประเทศในไทยก็ฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI) ที่กลับมาสูงกว่าปี 2019 ได้ในปี 2023 ที่ราว 670,000  ล้านบาท และขยายตัวต่อเนื่องสู่ 820,000 ล้านบาทในปี 2024

ทั้งนี้ การประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนและมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้ส่งผลให้การลงทุนทั่วโลกถูกปกคลุมไปด้วยความไม่แน่นอน และมีแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี หลังประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง  สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 (หลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษี) ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 267,000  ล้านบาท มาอยู่ที่ 470,000 ล้านบาท และเริ่มชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 (สหรัฐฯ เริ่มใช้นโยบายภาษี) มาอยู่ที่ 247,000 ล้านบาทจากการลดลงของมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดีในภาพรวม แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติในไทยยังเป็นบวก จากตัวเลขมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาทขยายตัวกว่า 94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 

โดยการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังมีมูลค่าสูงสุด ตามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าแลอิเล็กทรอนิกส์ สาธารณูปโภค เครื่องจักรและยานยนต์และโลหะและวัสดุ  ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดของการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรายประเทศ (1H2025) สิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด (สัดส่วนราว 40%)  ตามด้วย จีน-ฮ่องกง (สัดส่วนราว 29%)  และการลงทุนจาก ญี่ปุ่น (สัดส่วนราว 5%) 

สรุปข่าว

SCB EIC วิเคราะห์ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” ทำให้การลงทุนโลกไม่เหมือนเดิม กระทบการลงทุนโดยตรง หรือ FDI เข้าสู่ไทยเปลี่ยนแปลงไปทั้งด้านแหล่งเงิน อุตสาหกรรม และรูปแบบโครงการ แนะภาครัฐและเอกชนต้องปรับตัวเพื่อรับโอกาสและความท้าทายจากกระแสการลงทุนของโลก

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC วิเคราะห์ “ทิศทางการลงทุนไทย ในยุคที่การลงทุนโลกไม่เหมือนเดิม”  โดยระบุว่า  ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งการประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเร่งให้เกิด 4 กระแสการลงทุนของโลก ได้แก่

 1) Moving to the US : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ เพื่อลดภาระภาษีนำเข้าทั้งจากบริษัทของสหรัฐฯ ที่ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายตลาดในสหรัฐฯ และการลงทุนของประเทศพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ 

2) Global Competitive Relocation : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าประเทศที่ได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA และประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ในอัตราที่ต่ำ

 3) From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น 

และ 4) Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านมาตรการจูงใจที่ทยอยออกมาเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือภูมิภาค

นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด

สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนสำคัญในภูมิภาคอาเซียนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในช่วงรัฐบาลทรัมป์1.0 ซึ่งส่งผลบวกให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทยอย่างต่อเนื่อง 

แต่การแพร่ระบาดของวิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งภายหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย กระแสการลงทุนจากต่างประเทศในไทยก็ฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI) ที่กลับมาสูงกว่าปี 2019 ได้ในปี 2023 ที่ราว 670,000  ล้านบาท และขยายตัวต่อเนื่องสู่ 820,000 ล้านบาทในปี 2024

ทั้งนี้ การประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนและมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้ส่งผลให้การลงทุนทั่วโลกถูกปกคลุมไปด้วยความไม่แน่นอน และมีแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี หลังประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง  สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 (หลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษี) ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 267,000  ล้านบาท มาอยู่ที่ 470,000 ล้านบาท และเริ่มชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 (สหรัฐฯ เริ่มใช้นโยบายภาษี) มาอยู่ที่ 247,000 ล้านบาทจากการลดลงของมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดีในภาพรวม แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติในไทยยังเป็นบวก จากตัวเลขมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาทขยายตัวกว่า 94% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024 

โดยการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลยังมีมูลค่าสูงสุด ตามด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าแลอิเล็กทรอนิกส์ สาธารณูปโภค เครื่องจักรและยานยนต์และโลหะและวัสดุ  ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดของการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรายประเทศ (1H2025) สิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด (สัดส่วนราว 40%)  ตามด้วย จีน-ฮ่องกง (สัดส่วนราว 29%)  และการลงทุนจาก ญี่ปุ่น (สัดส่วนราว 5%) 

ทั้งนี้ หลังประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แม้ยังเห็นสัญญาณบวกของนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง แต่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านแหล่งเงินทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และรูปแบบโครงการ

โดยด้าน “แหล่งเงินทุน”  เมื่อพิจารณาข้อมูลการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี2025 จากแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศมีการปรับทิศทางอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

1. กลุ่มที่ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์เช่น มาเลเซีย และสวีเดน ซึ่งก่อนหน้านี้ทิศทางการลงทุนขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่ในไตรมาส 2 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนกลับปรับลดลงทั้งในเชิงมูลค่าการลงทุนและจำนวนโครงการ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลก 

2. กลุ่มที่การลงทุนลดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนจากประเทศต้นทางที่ต้องการดึงการลงทุนกลับประเทศ อย่างเช่น อินเดียที่เร่งปฏิรูปเศรษฐกิจดันนโยบาย Made in India ด้วยการปรับโครงสร้างภาษีและบริการให้เอื้อต่อการผลิตในประเทศมากขึ้น 

3. กลุ่มที่ยังเติบโตได้ดีได้แก่ จีน, สิงคโปร์, สหราชอาณาจักร และโอเชียเนีย (กลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทวีปออสเตรเลีย)  จากการลงทุนในไทยที่ยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งในเชิงมูลค่าและจำนวนโครงการ ชี้ให้เห็นถึงการวางบทบาทไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคและต่อยอดโอกาสการเติบโตในตลาดเอเชีย นอกจากนี้ยังพบว่าสัดส่วนการลงทุนจากประเทศในยุโรปขยายตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากในช่วงปี 2022-2024 เฉลี่ยอยู่ที่ราว 10% เพิ่มขึ้นมาเป็น 15% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ 

อีกทั้ง การลงทุนในกลุ่มประเทศจากตะวันออกกลางยังเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่องและมูลค่าการลงทุนสูงอย่างก้าวกระโดด อย่างเช่น UAE ที่ในช่วงครึ่งปีนี้ มูลค่าการลงทุนในไทยเติบโตมาอยู่ที่ 1,560 ล้านบาทหรือกว่า 383%YoY ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มดิจิทัล และบริการที่มีมูลค่าสูงอย่างการขนส่ง และการท่องเที่ยว

ขณะที่ด้าน "อุตสาหกรรม"  การลงทุนจากต่างประเทศขยายไปสู่กิจการย่อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น ได้แก่ 

1. การลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล ในปี 2025 การลงทุนในกลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงขยายตัวโดดเด่นจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google และ TikTok ที่เข้ามาจัดตั้ง Data center ในไทยเพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นโอกาสในการช่วยดึงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องในกลุ่ม AI, Cloud computing และบริการดิจิทัลอื่น ๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยด้วย

2. การเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุน EV Ecosystem ครบวงจร เพื่อขยาย Supply chain ให้ลึกมากขึ้น จากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกในช่วงก่อนหน้า ทั้งการประกอบยานยนต์EV การผลิตชิ้นส่วน และแบตเตอรี่ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Regional aviation hub)  

3. การลงทุนในกลุ่มที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต อาทิ การผลิตเครื่องมือแพทย์การผลิตยา การผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Food tech) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์เทรนด์การใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่และการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ(Aging society)ในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว อาทิ เหล็กสำหรับงานก่อสร้าง และโซลาร์เซลล์ จากการปรับลดหรือยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และสอดรับกับกติกาด้านความยั่งยืนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น

และด้าน “รูปแบบโครงการ” การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยก็มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่โครงการขนาดเล็กมากขึ้น  ซึ่งคาดว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อเข้ามาทดลองตลาด หรือเข้ามาเพื่อเชื่อมต่อ Supply chain ในไทยหรือในอาเซียนที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมถึงการเข้ามาลงทุนตามผู้ผลิตรายใหญ่ที่ได้ตั้งฐานการผลิตในไทยในช่วงก่อนหน้า 

นอกจากนี้ยังพบสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 78% จากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เพียง 34% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการที่ขยายกิจการจากอุตสาหกรรมเดิมที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้ว บ่งชี้ว่าไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและยังคงรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติทำให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่ได้มากยิ่งขึ้น 



SCB EIC ประเมินว่าในระยะข้างหน้า คาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยังมีโอกาสขยายตัวตามทิศทางการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้นประกอบกับการดำเนินมาตรการเชิงรุกของ BOI ในการรักษาฐานนักลงทุนเดิมควบคู่กับการดึงแหล่งเงินทุนใหม่ อีกทั้งภาครัฐยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสอดคล้องกับทิศทางการลงทุนโลก 

อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนจากต่างประเทศในไทยยังมีโอกาสขยายตัว แต่ไทยยังตามหลังหลายประเทศในอาเซียน โดยการแข่งขันในภูมิภาคเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากฐานเงินทุนสำคัญอย่างจีนและสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมา มูลค่าการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม 

อีกทั้ง สัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI ต่อ GDP) ในปี 2024 ของไทยอยู่ที่เพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค สอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนรวมทั้งจากในและต่างประเทศต่อ GDP ในปี 2024 ของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 22% และอาจลดลงอีกใน 5 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ไทยยังมีความท้าทายหลายด้าน  ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายจาก “การสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ” และพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2025 มูลค่าการนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 133% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2015–2019 ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ยังทรงตัวใกล้ระดับเฉลี่ยในอดีต สะท้อนถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามายังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศได้ไม่มาก 

นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากมาตรการ Transshipment ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ 

อีกทั้ง ปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งโครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมกลาง-ปลายน้ำ ผลิตภาพแรงงานที่เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่ง การพัฒนาแรงงานทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงได้

อย่างไรก็ดี SCB EIC มองว่านโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยยังมีศักยภาพดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่จำเป็นต้องทบทวนต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับโอกาสและความท้าทายของการลงทุนโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเมื่อเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยกับประเทศอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนามแล้ว ไทยยังมีจุดแข็งสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการตั้งฐานการผลิตขั้นสูง 

อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนก็มีจุดแข็งเฉพาะตัว เช่น เวียดนามที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ หรืออินโดนีเซียที่มีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญต่อระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า 

ดังนั้น ไทยต้องเร่งเสริมความได้เปรียบและต่อยอดจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น อีกทั้ง ภาครัฐอาจพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และให้ทันต่อบริบทของเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไป 

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ได้แก่ 1) การยกระดับการผลิตผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติ และใช้ข้อมูลเพื่อปรับระบบการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงพร้อมทั้งลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ 2) ปรับบทบาททางธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และ 3) สร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตต่างชาติ ผ่านการร่วมมือด้านเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วม และโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ

ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC

ที่มารูปภาพ : TNN 16