เอเซีย พลัส มองเป้า SET สิ้นปี 68 ที่ 1,424 จุด จับตาสงครามการค้าเสี่ยง แพร่กระจายไปทั่วโลก

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รุนแรงเป็นประวัติการณ์หลังตอบโต้กันไปมาผ่านการขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ซึ่งเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีแรกจากสงครามการค้า ทำให้ตลาดมองความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ สูงขึ้นและมีแนวโน้มหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจลงเพิ่มเติมทั้งในและนอกสหรัฐฯ

ทั้งนี้คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 เบื้องต้นอาจกดดัน GDP ไทยชะลอลงซึ่งคาดว่าตัวเลขมีโอกาสต่ำกว่า 2.0% จากหลายปัจจัยกดดันทั้งการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในตลาดสินค้าโลกซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกไทยโดยตรงและการลงทุนทางตรงของต่างชาติที่มีความไม่แน่นอนสูง กดดันให้มูลค่า FDI/ BOI มีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวน่าจะเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลังที่มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มกรอบวินัยการคลัง จากหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP ให้สูงขึ้นและนโยบายการเงิน ซึ่งน่าจะเห็น กนง.ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งเหลือ 1.75% ในการประชุมรอบ 30 เม.ย.68 โดยการดอกเบี้ยลง 25 BPS.

ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสที่ 2/68 ที่ต้องติดตาม คือการเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกยุค TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้นเนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก (ไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว) โดยคาดสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป

กดดัน GDP โลกปี 68 โตต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน ซึ่งอาจหนุนให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงสั้นได้

สำหรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ในช่วงไตรมาส 2/68 ASPS คาดการณ์แนวต้านไว้ที่ระดับ 1,160 – 1,180 จุด และมีแนวรับที่ 1,060 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปี 68 แบบอนุรักษ์นิยม ภายใต้ประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 68 ที่ 89 บาทต่อหุ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% และส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้น (MEYG) ที่ 4.5% (+1 SD) จะได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ 1,424 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นอันดับ 1 อุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์เห็นว่าแข็งแกร่ง และมี High Dividend Yield +Profit Growth ปี 68-69 อย่าง SCC, CPALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP, BBL

เอเซีย พลัส มองเป้า SET สิ้นปี 68 ที่ 1,424 จุด จับตาสงครามการค้าเสี่ยง แพร่กระจายไปทั่วโลก

สรุปข่าว

เอเซีย พลัส มองเป้า SET ปี 68 ที่ 1,424 จุด จับตาสงครามการค้าเสี่ยง แพร่กระจายไปทั่วโลก คาดสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป กดดัน GDP ไทยโตต่ำกว่า 2.0% เเละ GDP โลกอาจโตต่ำกว่า 3 % ประเมินแนวรับที่ 1,060 จุด

ด้าน นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์  ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯมีความผันผวนสูง จึงแนะนำการลงทุนที่เน้นหุ้นกลุ่มพื้นฐานดี อย่าง กลุ่ม Domestic, Defensive, Dividendเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน อาทิ China Mobile, Coca-Cola,Costco, Eli Lilly, Fast Retailing, Giant Biogene, Gree, Electric, Midea, Netflix, Tingyi, Walmart, Sea Limited

ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตเนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่มีอยู่สูงและความเสี่ยงด้านต่ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจลุกลามไปนอกเหนือจากภาษีทางด้านการค้าความเสี่ยงหนี้สาธารณะชนเพดานของสหรัฐฯ รวมทั้งแผนปรับลดภาษีของสหรัฐฯ

ด้านนางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการเคลื่อนไหวแบบลงจำกัดอย่างเสียไม่ได้เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 1.50-1.75% ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 3 ปีที่ตอนนี้อยู่ในช่วง 1.55-1.71%

โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในช่วงกลางปีลงไป โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นไตรมาสแรก มีการปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หลัง กนง ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วกว่าตลาดคาดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนภาครัฐอายุ 2-10 ปี ปรับลง 31-35 bps มาอยู่ที่ 1.69%, 1.74% และ 1.99% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงมากมายทั้งภายในและภายนอก เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติหนี้เสีย ภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ และสงครามการค้าทั่วโลก จึงกดดัน yield ระยะสั้นให้โงหัวไม่ขึ้นตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบาย แต่อย่างไรก็ตามตลาดพร้อมดีดตัวกลับอย่างเร็วและแรงเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของภาวะดอกเบี้ย

จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าวัตถุประสงค์เพื่อ trading แนะให้ซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ โดยความเสี่ยงจากการขาดทุนจะมากขึ้นตามอายุตราสาร

ดังนั้นจึงแนะนำให้ trade พันธบัตรที่อายุไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าวัตถุประสงค์ Buy and Hold แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตสูง ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม (Food), การแพทย์ (Helth), ธุรกิจการเกษตร (Agri) เป็นต้น


ติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง :    https://www.tnnthailand.com/wealth/investment/196919/ 

ที่มาข้อมูล : บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

ที่มารูปภาพ : TNN Wealth

แท็กบทความ