
"ผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย"
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง "ผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย" กรณีศึกษาผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ว่า สถานการณ์แรงงานในภาพรวมดูดีขึ้น สังเกตจากผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่พบว่า แม้จะมีภาระหนี้เหมือนเดิม แต่มีการออมมากขึ้น สะท้อนว่าแรงงานระมัดระวังการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 52.1% ตอบว่า จะใช้จ่ายเท่าที่รายได้ที่หาได้ และ 25.5% ใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่หามาได้ ซึ่งดีกว่าปี 2567
ทั้งนี้ สอดคล้องกับตัวเลขการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน จากปี 2567 ที่ยอดการผ่อนชำระหนี้ในระบบอยู่ที่ 7,503 บาท ส่วนในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 7,858 กว่าบาท แต่ส่วนที่หายไป คือ หนี้นอกระบบ จากปี 2567 ที่ 3,653 บาท ลดลงมาเหลือ 1,956 บาทในปี 2568 ซึ่งทำให้ภาพรวมการชำระหนี้ลดลงจากปี 2567 ที่ 9,295 บาท มาเหลือ 8,407 บาทในปี 2568
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ลดลงเหลือ 89.4% และอาจเป็นภาพที่รัฐบาลมีการแปลงหนี้นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบ เป็นจุดสังเกตแรกว่า แรงงานน่าจะมีสถานภาพทางการเงินที่ค่อย ๆ ดีขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มนี้น่าจะได้เงินจากนโยบายแจกเงินหมื่น และอาจนำเงินไปชำระหนี้ หรือปรับปรุงคุณภาพชีวิต รวมไปถึงการมีนโยบาย "คุณสู้ เราช่วย"
สำหรับตัวเลขการออมที่สูงขึ้นจากปี 2567 ที่ 33.8% มาเป็น 38.6% ในปี 2568 นั้น แสดงให้เห็นว่าแรงงานระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่มองว่าสถานภาพแรงงานดูดีขึ้น และยังไม่เห็นสถานการณ์ของความน่ากังวล อย่างไรก็ดี แรงงานยังมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี และระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยแรงงานไม่ต้องการก่อหนี้เพิ่ม และต้องการการประคับประคองการเงินของตัวเอง
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างยังมองว่า การงานยังมีความมั่นคง เพราะนายจ้างยังไม่มีท่าทีว่าจะปรับลดคนงาน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขาดแคลนแรงงาน ต้องใช้แรงงานต่างด้าว 3-5 ล้านคน แต่ในอนาคต ลูกจ้างรายวัน มองว่ายังไม่แน่ใจ ชี้ให้เห็นว่ามองว่าเศรษฐกิจในอนาคตยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ทรัมป์ 2.0
ขณะที่เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างว่า "ถ้าตกงานแล้วจะหางานใหม่ง่ายหรือไม่" พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งมองว่า การหางานใหม่ไม่ง่าย ซึ่งสถานการณ์ใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจดูไม่โดดเด่น แต่สถานการณ์ทรัมป์ 2.0 ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย จึงทำให้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ หรือจะเป็นอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้จากการสำรวจ "พฤติกรรมการใช้จ่ายในวันแรงงานปี 2568" กลุ่มตัวอย่างมองว่า แรงงานน่าจะคึกคักกว่าปีก่อน แสดงให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานน่าจะดีขึ้น จากการสำรวจมูลค่าการใช้จ่าย และจำนวนสินค้าที่ซื้อมีมากขึ้น เห็นการผ่อนคลายทางการเงินที่มากขึ้น และเป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี มูลค่าการจับจ่ายใช้สอยยังไม่สูง คาดเม็ดเงินสะพัดอยู่ที่ 2,186 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สรุปข่าว
"ผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย"
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง "ผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย" กรณีศึกษาผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ว่า สถานการณ์แรงงานในภาพรวมดูดีขึ้น สังเกตจากผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่พบว่า แม้จะมีภาระหนี้เหมือนเดิม แต่มีการออมมากขึ้น สะท้อนว่าแรงงานระมัดระวังการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 52.1% ตอบว่า จะใช้จ่ายเท่าที่รายได้ที่หาได้ และ 25.5% ใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่หามาได้ ซึ่งดีกว่าปี 2567
ทั้งนี้ สอดคล้องกับตัวเลขการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน จากปี 2567 ที่ยอดการผ่อนชำระหนี้ในระบบอยู่ที่ 7,503 บาท ส่วนในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 7,858 กว่าบาท แต่ส่วนที่หายไป คือ หนี้นอกระบบ จากปี 2567 ที่ 3,653 บาท ลดลงมาเหลือ 1,956 บาทในปี 2568 ซึ่งทำให้ภาพรวมการชำระหนี้ลดลงจากปี 2567 ที่ 9,295 บาท มาเหลือ 8,407 บาทในปี 2568
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ลดลงเหลือ 89.4% และอาจเป็นภาพที่รัฐบาลมีการแปลงหนี้นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบ เป็นจุดสังเกตแรกว่า แรงงานน่าจะมีสถานภาพทางการเงินที่ค่อย ๆ ดีขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มนี้น่าจะได้เงินจากนโยบายแจกเงินหมื่น และอาจนำเงินไปชำระหนี้ หรือปรับปรุงคุณภาพชีวิต รวมไปถึงการมีนโยบาย "คุณสู้ เราช่วย"
สำหรับตัวเลขการออมที่สูงขึ้นจากปี 2567 ที่ 33.8% มาเป็น 38.6% ในปี 2568 นั้น แสดงให้เห็นว่าแรงงานระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่มองว่าสถานภาพแรงงานดูดีขึ้น และยังไม่เห็นสถานการณ์ของความน่ากังวล อย่างไรก็ดี แรงงานยังมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี และระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยแรงงานไม่ต้องการก่อหนี้เพิ่ม และต้องการการประคับประคองการเงินของตัวเอง
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างยังมองว่า การงานยังมีความมั่นคง เพราะนายจ้างยังไม่มีท่าทีว่าจะปรับลดคนงาน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขาดแคลนแรงงาน ต้องใช้แรงงานต่างด้าว 3-5 ล้านคน แต่ในอนาคต ลูกจ้างรายวัน มองว่ายังไม่แน่ใจ ชี้ให้เห็นว่ามองว่าเศรษฐกิจในอนาคตยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ทรัมป์ 2.0
ขณะที่เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างว่า "ถ้าตกงานแล้วจะหางานใหม่ง่ายหรือไม่" พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งมองว่า การหางานใหม่ไม่ง่าย ซึ่งสถานการณ์ใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจดูไม่โดดเด่น แต่สถานการณ์ทรัมป์ 2.0 ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย จึงทำให้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ หรือจะเป็นอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้จากการสำรวจ "พฤติกรรมการใช้จ่ายในวันแรงงานปี 2568" กลุ่มตัวอย่างมองว่า แรงงานน่าจะคึกคักกว่าปีก่อน แสดงให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานน่าจะดีขึ้น จากการสำรวจมูลค่าการใช้จ่าย และจำนวนสินค้าที่ซื้อมีมากขึ้น เห็นการผ่อนคลายทางการเงินที่มากขึ้น และเป็นช่วงวันหยุดต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี มูลค่าการจับจ่ายใช้สอยยังไม่สูง คาดเม็ดเงินสะพัดอยู่ที่ 2,186 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ความเสี่ยงแรงงานไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า การส่งออกที่มีความเสี่ยงจากทรัมป์ 2.0 และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้อย่างน้อย 1% ซึ่ง ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจมากถึง 2% โดย IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยปีนี้จาก 2.9% เหลือ 1.8% ซึ่ง GDP ที่หายไปทุก ๆ 1% จะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.1-0.2% หมายความว่า ถ้าเศรษฐกิจไทยเริ่มมีผลกระทบในเชิงลบ การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลงจะทำให้เกิดการว่างงานมากขึ้น การจ้างงานน้อยลง และถ้ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก ก็จะเป็นตัวเร่งให้นายจ้างต้องใช้เครื่องจักรทดแทน หรือลดการจ้างงานลง
นายธนวรรธน์ยังได้มีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรฟังไตรภาคีจังหวัด และแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ ว่า สถานการณ์ตอนนี้ ขนาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังถูกแนะนำให้ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง จะเป็นผลกระทบต่อแรงงานในท้ายที่สุด เพราะทำให้เกิดการว่างงานสูงขึ้น ดังนั้น ตอนนี้น่าจะมีการประคับประคองดูแลปรับขึ้นค่าแรงตามความเหมาะสมของไตรภาคีจังหวัด
ขณะที่ทางฝั่งของลูกจ้าง จากการสำรวจยังเห็นว่า การขึ้นค่าแรงมีผลกระทบเชิงลบมากกว่าบวก จากความกังวลเรื่องกลัวจ้างแรงงานต่างด้าวแทน และกลัวราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น พร้อมมองว่าการปรับขึ้นค่าแรง ควรสอดคล้องกับค่าครองชีพด้วย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำเป็นหรือไม่ ?
นายธนวรรธน์ กล่าวตอบคำถามว่า จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่นั้น มองว่า อาจจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจากปัจจุบันซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 70% โดยล่าสุดหนี้สาธารณะของไทย อยู่ที่ระดับประมาณ 65% ต่อจีดีพี ซึ่งถ้าไทยได้รับผลกระทบหนักจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ เราอาจต้องใช้นโยบายการคลังเข้ามาช่วยในการกู้เงินเพิ่ม แต่ต้องเป็นนโยบายที่เฉพาะเจาะจง ทำให้เกิดการจ้างงาน และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
พร้อมมองว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นแนวทางเดิมตามที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ อาจไม่เหมาะกับช่วงเวลานี้ ที่ประเทศต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจง สร้างความสามารถในการแข่งขัน สร้างการจ้างงาน ดังนั้น นโยบายเงินโอนในการกระตุ้นการบริโภค จึงไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ การคำนึงถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ จะต้องดูสถานการณ์ที่ชัดเจนว่าการเจรจากับสหรัฐฯ ผ่านหรือไม่ ต้องจ่ายภาษีเท่าไร และต้องดูสถานการณ์ทั่วโลกว่าเป็นอย่างไร ถ้าเศรษฐกิจเขาโตน้อยลง ก็มีผลต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทยด้วย
สอดคล้องกับที่ IMF มองว่า ต้องเป็นนโยบายที่เฉพาะเจาะจง เป็นนโยบายที่มีเป้าหมายที่ทำให้เกิดการจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขัน และไม่ควรเป็นนโยบายเงินโอน ส่วนนโยบายการเงินน่า จะเริ่มลดลงได้ เพราะถ้ารอไปถึงปลายเดือนมิ.ย. หรือประชุม กนง.ครั้งต่อไป อาจช้าเกินไป และสถานการณ์ย่ำแย่เกินไป เพราะเศรษฐกิจขาดแรงกระตุ้น
สรุป คือ จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันเก็บกระสุนไว้ก่อน จึงทำให้นโยบายการเงินตอนนี้มีความสำคัญ ซึ่ง IMF มองว่าตอนนี้ควรใช้นโยบายการเงิน และหลังจากนั้น ค่อยใช้นโยบายการคลังประสาน
ที่มาข้อมูล : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ที่มารูปภาพ : Freepik