
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESG Extra Fund หรือ ThaiESGX) เปิดเสนอขาย IPO ตั้งแต่ 2 พ.ค. - 8 พ.ค. ที่ผ่านมาพบว่า มีเม็ดเงินเข้ามาไม่มากนัก ซึ่งคาดว่าการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากการกองทุน LTF ไป ThaiESGX ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 จะมีเงินเข้ามามากขึ้น โดยประเมินไว้ว่าเม็ดเงินเข้ามาในกองทุนเบื้องต้นประมาณ 10,000 ล้านบาท และหลังจากสิ้นสุดมิ.ย. จะประเมินอีกครั้งว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
Thai ESG Extra คืออะไร
Thai ESG Extra กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX คือกองทุนรวมกลุ่มใหม่ในหมวด “Thai ESG” เป็นกองทุนที่รองรับการสับเปลี่ยนเงินจากกองทุน LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในระยะเวลา 2 เดือน คือพ.ค.-มิ.ย.68 เพื่อรับสิทธิประโยชน์มาลดภาษีเพิ่มเติมและสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว
ลงทุนในอะไรบ้าง
Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของNAV ส่วนเงินลงทุนอื่นๆ เช่น เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
ประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ประกอบด้วย
- หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV
- ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน
- โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESG Extra
- สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
วงเงินลดหย่อนที่ 1 : สำหรับเงินลงทุนใหม่เฉพาะปี 2568
- ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
วงเงินลดหย่อนที่ 2 : สำหรับผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX
- ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน หลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินเดือน มิ.ย.68
- ปีแรก (ปี 68) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
- ปีที่ 2-5 (ปี 69-72) ส่วนที่เหลืออีก 200,000 บาทที่เหลือ ทยอยใช้สิทธิได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท 4 ปี
- วงเงินลดหย่อนทั้งหมดของ Thai ESGX ในปี 2568 จะไม่ถูกนับรวมกับ Thai ESG เดิม แปลว่าหากใช้แบบเต็มสิทธิ เราจะสามารถลดหย่อนภาษีได้พิเศษเพิ่มขึ้นถึง 600,000 บาทในปีนี้ และทยอยลดหย่อนได้อีกในปีต่อๆ ไป หากยังมียอดลงทุนส่วนเกินใน LTF
กองทุน Thai ESG
- นโยบายการลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV
สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
- ระยะเวลาถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน
การโอน LTF เข้ากองทุน Thai ESGX ต้องทำอย่างไร
- ต้องโอนมาทั้งหมดจะโอนมาบางส่วนไม่ได้ และต้องมีชื่อปรากฎในวันที่ 12 มี.ค. 68 ว่าถือ LTF และไม่มีการขายออกมาเลย หลังจากวันที่ 12 มี.ค.68
สรุปข่าว
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESG Extra Fund หรือ ThaiESGX) เปิดเสนอขาย IPO ตั้งแต่ 2 พ.ค. - 8 พ.ค. ที่ผ่านมาพบว่า มีเม็ดเงินเข้ามาไม่มากนัก ซึ่งคาดว่าการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากการกองทุน LTF ไป ThaiESGX ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 จะมีเงินเข้ามามากขึ้น โดยประเมินไว้ว่าเม็ดเงินเข้ามาในกองทุนเบื้องต้นประมาณ 10,000 ล้านบาท และหลังจากสิ้นสุดมิ.ย. จะประเมินอีกครั้งว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
Thai ESG Extra คืออะไร
Thai ESG Extra กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX คือกองทุนรวมกลุ่มใหม่ในหมวด “Thai ESG” เป็นกองทุนที่รองรับการสับเปลี่ยนเงินจากกองทุน LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในระยะเวลา 2 เดือน คือพ.ค.-มิ.ย.68 เพื่อรับสิทธิประโยชน์มาลดภาษีเพิ่มเติมและสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว
ลงทุนในอะไรบ้าง
Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของNAV ส่วนเงินลงทุนอื่นๆ เช่น เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
ประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ประกอบด้วย
- หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV
- ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน
- โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESG Extra
- สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
วงเงินลดหย่อนที่ 1 : สำหรับเงินลงทุนใหม่เฉพาะปี 2568
- ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
วงเงินลดหย่อนที่ 2 : สำหรับผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX
- ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน หลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินเดือน มิ.ย.68
- ปีแรก (ปี 68) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
- ปีที่ 2-5 (ปี 69-72) ส่วนที่เหลืออีก 200,000 บาทที่เหลือ ทยอยใช้สิทธิได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท 4 ปี
- วงเงินลดหย่อนทั้งหมดของ Thai ESGX ในปี 2568 จะไม่ถูกนับรวมกับ Thai ESG เดิม แปลว่าหากใช้แบบเต็มสิทธิ เราจะสามารถลดหย่อนภาษีได้พิเศษเพิ่มขึ้นถึง 600,000 บาทในปีนี้ และทยอยลดหย่อนได้อีกในปีต่อๆ ไป หากยังมียอดลงทุนส่วนเกินใน LTF
กองทุน Thai ESG
- นโยบายการลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV
สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
- ระยะเวลาถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน
การโอน LTF เข้ากองทุน Thai ESGX ต้องทำอย่างไร
- ต้องโอนมาทั้งหมดจะโอนมาบางส่วนไม่ได้ และต้องมีชื่อปรากฎในวันที่ 12 มี.ค. 68 ว่าถือ LTF และไม่มีการขายออกมาเลย หลังจากวันที่ 12 มี.ค.68
ข้อกำหนดตามกฎหมายและเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- การโอนจาก LTF ไปกองทุน Thai ESGX เป็น “มาตรการต่อเนื่อง” ของภาครัฐที่ออกมา เพื่อจูงใจให้นักลงทุนคงเงินลงทุนในระยะยาวต่อ
- เพื่อ รักษาสิทธิการไม่เสียภาษีจากการขายคืน LTF เดิม กฎหมายกำหนดว่า ต้องโอนหน่วยลงทุนทั้งหมดของ LTF ที่ครบกำหนดแล้ว ไปยังกองทุน ESG ตามที่กำหนด (เช่น Thai ESGX) ภายในระยะเวลาที่กำหนด"
- หากโอนเพียง “บางส่วน”จะถือว่า ไม่ได้เข้าเงื่อนไขของโครงการต่อเนื่อง
- ส่วนที่ไม่ได้โอนอาจถูกตีความว่า “ขายคืน” และต้อง นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามเกณฑ์เดิม
- นอกจากนี้ระบบของ บลจ. ส่วนใหญ่ถูกตั้งค่าให้รองรับเฉพาะการ โอนแบบเต็มจำนวน ตามข้อกำหนดของมาตรการ และทำให้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบย้อนหลัง หากสรรพากรตรวจสอบในอนาคต
คนที่ถือ LTF อยู่จำเป็นต้องสับเปลี่ยนไป Thai ESGX ทุกคนไหม
- ไม่ได้บังคับ แล้วแต่ความสมัครใจของนักลงทุน แต่หลังจากหมดช่วงสับเปลี่ยน LTF จะถูกเปลี่ยนเป็นกองทุนผสม โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และจะเปิดขายให้เหมือนกองทุนรวมทั่วไปแทน
หากสับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX ทั้งหมด แล้ว LTF ส่วนเกินจาก 500,000 บาท จะต้องทำอย่างไร
- ส่วนที่เกิน 500,000 บาท จะไม่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี แต่ยังต้องถือไว้ครบ 5 ปีเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
ถ้าขาย LTF ไปก่อนหน้านี้แล้ว จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่
- หากเกิดธุรกรรม ขาย หรือ สับเปลี่ยน LTF หลัง 12 มี.ค.68 จะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากวงเงินโอน LTF เข้า Thai ESGX ได้ แต่ยังคงมีสิทธิซื้อ Thai ESGX ใหม่ในวงเงิน 300,000 บาท
สามารถสับเปลี่ยน LTF ไป Thai ESGX ข้าม บลจ. ได้หรือไม่
- ไม่ได้ เนื่องจากการโอนหน่วยลงทุน LTF ไปยังกองทุน ESGX เป็น “การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนภายใน บลจ. เดียวกัน” เท่านั้น
- ไม่ใช่การขายแล้วซื้อใหม่ (ซึ่งจะกระทบสิทธิทางภาษี)
- กฎหมายและมาตรการภาษีของรัฐกำหนดไว้ชัดเจนว่า การโอน LTF ไปกองทุน ESG จะต้องทำภายใน “บลจ. เดิม” เพื่อคงสิทธิยกเว้นภาษี
ถ้าคุณต้องการลงทุนใน Thai ESGX ของ บลจ. อื่น
- จะต้อง ขายคืน LTF เดิมก่อน (ซึ่งหากยังไม่ครบกำหนด อาจเสียภาษีย้อนหลัง)แล้ว นำเงินไปซื้อ Thai ESGX ที่ต้องการใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนคนละรอบ และจะ ไม่ได้รับสิทธิเลื่อนภาษี จาก LTF เดิม
ผู้ที่ขาย LTF ออกไปแล้วทั้งหมด หรือไม่เคยมี LTF มาก่อน
- ซื้อ Thai ESGX เพิ่ม ช่วง พ.ค. – มิ.ย.ในช่วงเวลาที่กำหนด ( พ.ค. – 30 มิ.ย. 68) นักลงทุนสามารถ “ซื้อเพิ่ม” ใน Thai ESGX เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนอีก 300,000 บาท (ตามเงื่อนไข 30% ของรายได้เช่นกัน)
- กรณีที่ลูกค้าลงทุนเงินใหม่และโอนเงินจาก LTF เดิม จะสามารถรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 68 จากกองทุน Thai ESGX ได้สูงสุด 600,000 บาท
ตรวจสอบยอด LTF ที่สามารถสับเปลี่ยน ได้จากที่ใดบ้าง
- เว็บไซต์: https://www.set.or.th/ltf
- วิธีการใช้งาน สมัครสมาชิก SET Member: https://member.set.or.th/set-member/registration
- ลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaID: ดาวน์โหลดแอป ThaID จาก Google Play หรือ App Store
- เข้าสู่ระบบ: ใช้บัญชี SET Member และยืนยันตัวตนผ่าน ThaID
- ตรวจสอบได้ที่ บลจ. และตัวแทนขายหน่วยลงทุนที่ท่านเคยใช้บริการลงทุน เพื่อ ตรวจสอบจำนวนหน่วยลงทุน LTF ที่ถือครอง
ใครควรโอน LTF ไป ThaiESGX
1.ฐานภาษียิ่งสูง ยิ่งควรโอน
- คนฐานภาษีสูง >> เช่น 25-35% หรือมีเงินเดือนประมาณ 130,000–460,000 บาทขึ้นไป การโอนเงินจาก LTF เดิมไป ThaiESGX จะช่วยให้ได้เงินคืนภาษีเฉลี่ยประมาณปีละ 5%-7% ของเงินที่โอนไป ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแค่ถือกองทุนต่อ 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเงินใหม่เพิ่มเลย แม้ในกรณีที่มีเงินลงทุน LTF มากกว่า 500,000 บาท เช่น 1 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานลดหย่อนสิทธิใหม่ แต่ส่วนที่ใช้สิทธิได้ (500,000 บาทแรก) ก็ยังทำให้ได้รับเงินคืนภาษีเฉลี่ยปีละ 2.5-3.5% ของมูลค่า LTF ทั้งก้อน ดังนั้นก็ยังถือว่าคุ้มในการถือต่อ 5 ปี เช่นกัน
- คนฐานภาษีน้อย >> เช่น 10% หรือเงินเดือนประมาณ 40,000 – 55,000 บาท เงินคืนภาษีที่ได้รับไม่สูงมาก ประมาณ 10% ของมูลค่า LTF ที่ถือ หรือเฉลี่ยปีละ 2% และหากลงทุนตั้งแต่ปีแรกๆ ที่มี LTF โดยไม่เคยขายคืนเลย จนมี LTF สะสมมูลค่าสูง เช่น 1 ล้านบาท เงินคืนภาษีที่ได้ จะอยู่ที่เพียง 5% ของมูลค่า LTF (= เงินคืนภาษี 50,000 ÷ มูลค่า LTF 1 ลบ.) หรือเฉลี่ยปีละ 1% เท่านั้น สำหรับคนกลุ่มนี้ การขายคืน LTF และนำเงินไปลงทุนทางเลือกอื่น อาจมีความน่าสนใจมากกว่า
2.อายุยิ่งน้อย ยิ่งควรโอน
ทางเลือกลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุน ThaiESGX กองทุน ThaiESG และประกันชีวิตแล้ว หลักๆ จะเป็นกองทุน RMF ที่ต้องถือและลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดังนั้นกรณีที่
- อายุน้อยกว่า 50 ปี >> เช่น อายุ 30 ปี RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องและถือไปอีกอย่างน้อย 25 ปี ดังนั้น ThaiESGX ที่ลงทุนเพียง 5 ปี จึงน่าสนใจมากกว่า เพราะระยะเวลาการลงทุนสั้นกว่าลงทุนใน RMF ถึง 5 เท่า
- อายุมากกว่า 50 ปี >> เช่น อายุ 53 ปี การลงทุนใน RMF อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ ThaiESGX ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม หรือจนถึงอายุประมาณ 58 ปี ส่วน RMF หากเคยลงทุนต่อเนื่องมาก่อนหน้าแล้ว อาจเหลือลงทุนต่ออีกเพียง 2-3 ปี (ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไปด้วย) จนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ก็สามารถขายคืน RMF ได้ อีกทั้ง RMF ยังมีกองทุนตราสารหนี้ ให้เลือกลงทุน เช่น K-SFRMF ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เหมาะกับการถือลงทุนระยะสั้นถึงระยะกลาง เพื่อเน้นรักษาเงินต้นส่วนใหญ่ ให้พร้อมใช้ในวัยเกษียณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
3.ยอมรับความเสี่ยงได้สูง ควรพิจารณาโอน
4.ThaiESGX เน้นลงทุนหุ้นไทย ทำให้เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง หรืออย่างน้อยควรรับความเสี่ยงได้บ้างแล้วเลือกกองทุนที่จำกัดสัดส่วนหุ้นไทยที่ 70%
หันมาดูผลิตภัณฑ์ที่บลจ.คัดสรรให้กับลูกค้าได้เลือกสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไป Thai ESGX ช่วงวันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย.68 นั้น มีให้เลือกหลากหลายขึ้นกับความต้องการของลูกค้า เพราะแต่ละกองทุนลดหย่อนภาษีจะมีกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น ลงทุนได้เท่าไหร่ ต้องถือนานแค่ไหน ต้องลงทุนต่อเนื่องกันทุกปีหรือไม่ จึงควรทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
บลจ.กสิกรไทยแนะนำ
- K-70ThaiESGX กองทุนลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ Green Bond อีก 30% โดยเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลสูง
- K-HDThaiESGX กองทุนลงทุนในหุ้น 100% โดยเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลสูง
บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) มีให้เลือก 4 กองทุน
- กองทุน SCBT70X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมผสมที่ลงทุนเชิงรุก บาลานซ์การลงทุนกับหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยที่ไม่เกิน 70%
- กองทุน SCBTAPX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทย ESG และกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายตามเกณฑ์ ESG ไม่เกิน 20%
- กองทุน SCBTAX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยที่โดดเด่นด้าน ESG และมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่า 80%
- กองทุน SCBTS100X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยตามดัชนี SET100 Free Float ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
บลจ.กรุงไทย KTAM ส่ง 3 กองทุน
- กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQ70PLUSX) (ระดับความเสี่ยง 5) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV และตราสารหนี้ ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินกว่า 30% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางค่อนข้างสูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังตราสารหนี้
- กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQPLUSX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นปันผล ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQDIVX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี สม่ำเสมอ และ/หรือ มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะเน้นลงทุนในประเทศเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยในกลุ่ม ESG ที่ประวัติการจ่ายปันผลที่ดี
- ชูกองทุนเปิดเคเคพี บาลานซ์ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KKP BL THAI ESGX)
- เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ไทยกลุ่มความยั่งยืน เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนระยาวพร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี
บลจ.กรุงศรีมีให้เลือก 3 กองทุน
- KF70-THAIESGX: กองทุนเปิดกรุงศรี 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ กองทุนผสม
- ลดความผันผวนด้วยการกระจายความเสี่ยงในตราสารหนี้ประมาณ 30%และลงทุนเชิงรุกในหุ้นไทย
- หุ้นไทยเชิงรุก 70%
- KFS50-THAIESGX กองทุนเปิดกรุงศรี SET50 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ กองทุนหุ้น แบบ Passive ลงทุนเชิงรับ เพื่อโอกาสเติบโตที่สอดคล้องกับหุ้นใหญ่ในตลาด และยังคงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ลงทุนหุ้นไทยเชิงรับ 100%
- KFAEQ-THAIESGX กองทุนหุ้น แบบ Active ลงทุนเชิงรุกในหุ้นไทยเสริมโอกาสสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงด้วย หุ้นต่างประเทศ หุ้นทั่วโลกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15% หันไทยเชิงรุกมากกว่าหรือเท่ากับ 80%
ก่อนการลงทุน ควรวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ตัวชี้วัดสำคัญคือ ผลตอบแทน ความผันผวน และค่าใช้จ่าย สำคัญผลตอบแทนแสดงนั้นคือประสิทธิภาพที่ทำได้ในอดีต แต่ไม่ใช่การรับประกันในอนาคต ความผันผวนบ่งบอกความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ค่าใช้จ่ายสูงอาจลดผลตอบแทนในระยะยาว...
ที่มาข้อมูล : AIMC,บลจ.กสิกรไทย,บลจ.กรุงศรี
ที่มารูปภาพ : tnn
นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน