“หุ้นไทย” หมดแรง GDP-EPS โดนหั่นเรียบ “ภาษีสหรัฐฯ” ตัดสิน ไปต่อหรือรอ “1,000 จุด”

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index ส่อแววหมดแรง หลังปัจจัยลบกระทบรอบด้าน ตัวเลขเศรษฐกิจโดนหั่นเรียบ EPS มีโอกาสพลาดเป้า ผู้เชี่ยวชาญออกมาปรับประมาณการณ์ตัวเลขด้านการลงทุนกันอย่างต่อเนื่อง SET Index หลังจากนี้ จะไปต่อได้แค่ไหน หรืออาจจะไปไม่ไหว ซึมลงเรื่อย ๆ จนอาจจะไปแตะระดับที่ 1,000 จุด

สรุปข่าว

การเจรจาภาษีสหรัฐฯจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย ที่จะสะท้อนผ่านภาพรวมของดัชนีหุ้นไทย ว่าจะสามารถผ่านด่านความท้าทายในครั้งนี้ ซึ่งหลาย ๆ คนมองว่าอาจจะเป็นวิกฤติที่หนักกว่าโควิด-19 ด้วยซ้ำไป

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index ส่อแววหมดแรง หลังปัจจัยลบกระทบรอบด้าน ตัวเลขเศรษฐกิจโดนหั่นเรียบ EPS มีโอกาสพลาดเป้า ผู้เชี่ยวชาญออกมาปรับประมาณการณ์ตัวเลขด้านการลงทุนกันอย่างต่อเนื่อง SET Index หลังจากนี้ จะไปต่อได้แค่ไหน หรืออาจจะไปไม่ไหว ซึมลงเรื่อย ๆ จนอาจจะไปแตะระดับที่ 1,000 จุด

ท่ามกลางสภาวะความผันผวน ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก จากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้จากสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก นับเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่มีการประกาศมาตรการภาษีสหรัฐฯโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าจะมีการเดินหน้าเจรจากับหลายประเทศ แต่ก็ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน ผลกระทบเริ่มปรากฎชัดเจนมากขึ้น

โดยล่าสุดปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ท่าเรือนครลอสแอนเจลิสซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือที่คึกคักที่สุดของสหรัฐฯ ปรับตัวลงมากถึง 30% ในช่วงต้นเดือนพ.ค. ท่าเรือลองบีช การนำเข้าลดลงกว่า 10% ท่าเรือโอ๊คแลนด์ทางฝั่งตะวันตก ลดลงถึง 14.7% เป็นสัญญาณอันตรายของการค้าโลก

ในขณะที่ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมากมายที่เข้ามากดดัน ทั้งปัจจัยภายในประเทศ และภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยไม่ไปไหน และส่งสัญญาณเริ่มหมดแรง โดยปัจจัยภายในที่กดดันล่าสุดก็มาจากการที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือขยายตัวเพียงแค่ 1.3 – 2.3% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่า 3%

เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ 3 จาก 4 ตัวกำลังจะดับ โดยคุณกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO แสดงความเป็นห่วงการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้เพียง +2.6% ซึ่งน่ากังวลใจ เพราะปกติแล้ว การบริโภคภาคเอกชนจะมีขนาดประมาณ 55% ของเศรษฐกิจ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ซึ่งตัวเลขนี้ควรขยายตัวได้ 5-6%

การผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สร้างรายได้หลักของประเทศ ล่าสุดมีสัดส่วนประมาณ 28% ของ GDP ในช่วงที่ขยายตัวดี ภาคนี้จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยผลักเศรษฐกิจไทย โดยช่วงปี 2543-2550 ขยายตัวที่ 9.5% ช่วงปี 2553-2561 ขยายตัวที่ 4.1% แต่ 5 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.5%

ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยว สัปดาห์ที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 5.11% ส่งผลให้ตัวเลขนักท่งเที่ยวต่างชาติสะสมอยู่ที่ 13.41 ล้านคน ติดลบ 1.75% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ “โลว์ซีซั่น” ทำให้มีโอกาสไม่น้อยที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลง พลาดเป้าที่วางไว้ที่ 35.5 ล้านคน หรือแทบไม่เติบโตขึ้นจากปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวก็จะหดหายไป

สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 55.4 ปรับตัวลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนต.ค.67 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย “ภาษีสหรัฐฯ”

รวมถึงการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ออกมาอยู่ที่ราว 2.8แสนล้านบาท ถึงแม้ว่าอาจจะดูเติมโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนราว 4% แต่แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีความท้าทายรออยู่ ซึ่งนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับลดประมาณการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS ลงเหลือเพียงแค่ 85 บาท จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 90-100 บาท

ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์พายมองว่าตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงอาจหลุดระดับ 1,000 จุดได้ หากการเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐไม่บรรลุผล และนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐยังส่งผลกระทบรุนแรงไปทั้งโลก ในระหว่างการดำรงตำแหน่งนี้ไปอีก 3 ปี ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างแรงกระแทกให้กับตลาดเพิ่มเติมอีกได้

สอดคล้องกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่าหากไทยสามารถเจรจาภาษีสหรัฐฯได้สำเร็จ และถูกเก็บภาษีเพียง 10% ประเมินว่า EPS จะอยู่ที่ 85 บาท แต่หากไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯได้สำเร็จ และถูกเก็บภาษี 36% EPS หุ้นไทยจะลดลง 15% มาอยู่ที่ 77 บาท

ส่วนดัชนี SET ปัจจุบัน ที่ซื้อขายกันบน P/E 13 เท่า ที่ระดับ 1,200 จุด หากสหรัฐเก็บภาษีกับทุกประเทศในอัตรา 10% ก็จะเป็นข่าวดี ภาพตลาดเปลี่ยนไป โอกาสที่ตลาดจะ Rally ขึ้นไป 1,300 และอาจไปถึง 1,400 จุด  ซึ่งซื้อขายกัน 15-17 เท่า  แต่หากไทยถูกเก็บ 36% คาดว่า SET ปรับลงมาเหลือเเพียง 900-1,100 จุด หรือ P/E 11-12 เท่า

และที่สำคัญ อเบร์ดีนคาดว่าไทยจะได้รับผลกระทบหากภาษีของสหรัฐสูงอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากการเจรจาการค้ากับสหรัฐยืดเยื้อ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเลื่อนการตัดสินใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ อาจจะมีการทบทวนแผนการลงทุนในไทย

ในขณะเดียวกันปัจจัยลบจากต่างประเทศที่รอซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยก็ยังมีอยู่อีกมากมาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยล่าสุดเจพีมอร์แกนเตือนว่า ตลาดการเงิน และธนาคารกลางประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ รวมทั้งมาตรการภาษีศุลกากร และสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศ ต่ำเกินไป โอกาสที่เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้น และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น (Stagflation) นั้น จะรุนแรงมากกว่าที่ผู้คนคาดคิด

โดยคาดว่าในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ตัวเลขคาดการณ์อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯจะไม่เติบโตเลย หลังจากเริ่มต้นปีที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 12% ซึ่งก็จะกดดันราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลง ประกอบกับ “มูดี้ส” สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1 ในรอบ 100 ปี

และลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯอีกด้วย สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะที่สูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ และภาระดอกเบี้ยของรัฐบาล รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลง

คงต้องยอมรับว่าหลังจากนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น การเจรจาภาษีสหรัฐฯจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย ที่จะสะท้อนผ่านภาพรวมของดัชนีหุ้นไทย ว่าจะสามารถผ่านด่านความท้าทายในครั้งนี้ ซึ่งหลาย ๆ คนมองว่าอาจจะเป็นวิกฤติที่หนักกว่าโควิด-19 ด้วยซ้ำไป