สมรภูมิการค้าชายแดน "ไทย-กัมพูชา" มูลค่าแสนล้าน

"การค้าชายแดนแสนล้าน" ไทย-กัมพูชา

 

ไทย - กัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้าน มีชายแดนระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร

การค้าชายแดนไทย แต่ละปีมีมูลค่ามากมายกว่าแสนล้าน

สร้างเงินสะพัด สร้างงาน กระจายรายได้ในทั้งสองฝั่ง 

และแน่นอกว่าหากมีการปิดประตู-ปิดการค้าชายแดนขึ้นมาเมื่อใด 

ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ


การค้าชายแดน การค้าแสนล้านบนความเสี่ยง 

การค้าชายแดน หมายถึง การค้ากับประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมาร์ สปป.ลาว และ

กัมพูชา โดยการส่งออกและนำเข้าผ่านทางจุดผ่านแดนที่จัดตั้งขึ้น

บริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยภายใต้พระราชบัญญัติการตรวจคนเข้าเมือง

ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว และจุดผ่อนปรน


นอกจากนี้ยังมีการค้าผ่านแดน ที่หมายถึง 

การขนส่งสินค้าผ่านเข้า-ออกไทย ผ่านประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งไปยัง

อีกประเทศหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นการนำไปขนส่งต่อ

หรือใช้อุปโภคบริโภคในประเทศเองก็ได้เช่นกัน 


ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ 

พบว่าการค้าชายแดนไทย- กัมพูชา รวมแค่ 5 ด่านสำคัญ

มีมูลค่าการค้ารวมกันแล้วมากถึง 174,530 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท 

การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท โดยไทยเราได้ดุลการค้า

อยู่ที่ 109,163 ล้านบาท


แต่อย่างไรก็ตามหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ไปกระทบ

จนทำให้เกิดการปิดด่านใหญ่ๆ 

ก็อาจะทำให้การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาหยุดชะงักลงได้ 


โดยกรมการค้าต่างประเทศวิเคราะห์ผลกระทบที่จะตามมา

หากมีการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา (ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2568) 

พบว่าจะมีผลกระทบต่อมูลค้าการค้าชายแดน ทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน  คือ


สรุปข่าว

การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทต่อปี ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะผ่าน 5 ด่านหลักที่คิดเป็นกว่า 90% ของมูลค่ารวม แต่กลับเผชิญความเสี่ยงสูงหากมีการปิดด่านจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคง ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งเชิงพื้นที่ โครงสร้างสินค้า และความต่อเนื่องของห่วงโซ่การผลิต แม้กัมพูชาจะเป็นคู่ค้ารายเล็กสุดในกลุ่มเพื่อนบ้าน แต่มีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 16.5% พร้อมเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวโดดเด่น อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนด้านภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบต่อเส้นทางการเติบโตของการค้าในภูมิภาคนี้

"การค้าชายแดนแสนล้าน" ไทย-กัมพูชา

 

ไทย - กัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้าน มีชายแดนระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร

การค้าชายแดนไทย แต่ละปีมีมูลค่ามากมายกว่าแสนล้าน

สร้างเงินสะพัด สร้างงาน กระจายรายได้ในทั้งสองฝั่ง 

และแน่นอกว่าหากมีการปิดประตู-ปิดการค้าชายแดนขึ้นมาเมื่อใด 

ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ


การค้าชายแดน การค้าแสนล้านบนความเสี่ยง 

การค้าชายแดน หมายถึง การค้ากับประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมาร์ สปป.ลาว และ

กัมพูชา โดยการส่งออกและนำเข้าผ่านทางจุดผ่านแดนที่จัดตั้งขึ้น

บริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยภายใต้พระราชบัญญัติการตรวจคนเข้าเมือง

ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว และจุดผ่อนปรน


นอกจากนี้ยังมีการค้าผ่านแดน ที่หมายถึง 

การขนส่งสินค้าผ่านเข้า-ออกไทย ผ่านประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งไปยัง

อีกประเทศหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นการนำไปขนส่งต่อ

หรือใช้อุปโภคบริโภคในประเทศเองก็ได้เช่นกัน 


ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ 

พบว่าการค้าชายแดนไทย- กัมพูชา รวมแค่ 5 ด่านสำคัญ

มีมูลค่าการค้ารวมกันแล้วมากถึง 174,530 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท 

การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท โดยไทยเราได้ดุลการค้า

อยู่ที่ 109,163 ล้านบาท


แต่อย่างไรก็ตามหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ไปกระทบ

จนทำให้เกิดการปิดด่านใหญ่ๆ 

ก็อาจะทำให้การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาหยุดชะงักลงได้ 


โดยกรมการค้าต่างประเทศวิเคราะห์ผลกระทบที่จะตามมา

หากมีการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา (ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2568) 

พบว่าจะมีผลกระทบต่อมูลค้าการค้าชายแดน ทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน  คือ


**1) ผลกระทบเชิงพื้นที่

โดยเฉพาะด่านชายแดนสำคัญๆ ของไทยและกัมพูชา ที่มีบทบาทหลักๆ  

เมื่อดูจากตัวเลขข้อมูลมูลค่าการค้าในแต่ละด่านศุลกากรในปีที่แล้ว(2567) 

เรียงลำดับได้ดังนี้ คือ 

1.อรัญประเทศ (จ.สระแก้ว) มีมูลค่าถึง 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.4% 

2.คลองใหญ่ (จ.ตราด) 29,289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.8% 

3.จันทบุรี 26,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.3% 

4.ช่องจอม (จ.สุรินทร์) 6,084 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.5% 

5.ช่องสะงำ (จ. ศรีสะเกษ) 1,818 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.0% 

และเมิ่อรวม 5 ด่าน มูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท


จะได้ว่า อันดับที่หนึ่ง ก็คือ ด่านอรัญประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว

แม้จะมีการปิดการค้าเพียงแค่แห่งเดียว ก็จะส่งผลต่อมูลค่าการค้าเกินครึ่งหรือมากกว่า 60% ของทั้งหมดแล้ว

และหากมีการปิดด่านเพิ่มอีก 2 แห่ง ตามมา ทั้งด่านคลองใหญ่ และ จันทบุรี 

และก็จะหมายความว่ามีผลกระทบต่อการค้ารวมไปแล้วถึง 90  % 

และสรุปได้ว่าจะทำให้การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหยุดชะงักเกือบทั้งหมดนั่นเอง


**2) ผลกระทบเชิงโครงสร้างสินค้า

เรามาเจาะดูสินค้าส่งออกและนำเข้าระหว่างไทยและกัมพูชา 

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา 4 เดือนแรก (มกราคม - เมษายน 2568 )

มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีมูลค่า 64,612 ล้านบาท 

เป็นการส่งออก 50,225 ล้านบาท และการนำเข้า 14,387 ล้านบาท

 ซึ่งไทยยังได้ดุลการค้ามูลค่า 35,838 ล้านบาท


โดยกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ ในมุมจากบ้านเรา

เจาะไปที่สินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปกัมพูชาในไตรมาสแรก ปี 2568 ได้แก่ 

น้ำมันดีเซล มูลค่าการส่งออก 4,141 ล้านบาท

สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น กากถั่วเหลืองและนมผงเด็ก มูลค่า 1,522 ล้านบาท 

เครื่องดื่มอื่นๆ เช่น นม UHT และนมถั่วเหลือง มูลค่า 1,435 ล้านบาท

ตามด้วยกลุ่มน้ำแร่น้ำอัดลมที่ปรุงรส เช่น เครื่องดื่มชูกำลังและน้ำอัดลม  

เครื่องยนต์สันดาปภายในและส่วนประกอบ 

ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ แต่ละกลุ่มมูลค่าหลักพันล้านบาททั้งสิ้น 


ขณะที่สินค้าที่ไทยเราต้องนำเข้าจากฝั่งกัมพูชา

ที่สำคัญๆ ได้แก่ 

มันสำปะหลัง, เศษโลหะ (อลูมิเนียม, ทองแดง), ลวดสายไฟ เป็นต้น 

สินค้าเหล่านี้สำคัญต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย 

เช่น อาหารสัตว์, รีไซเคิล, อิเล็กทรอนิกส์ 

ซึ่งหากมีการปิดด่านจะทำให้เกิดความล่าช้า 

ต้นทุนเพิ่ม และห่วงโซ่การผลิตเกิดความสะดุดได้



** 3) ผลกระทบเชิงเวลาและความต่อเนื่อง

หมายความว่ายิ่งปิดด่านยาวและต่อเนื่องจะยิ่งกระทบหนัก  

ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนไทย – กัมพูชา มีทั้งหมด 18 แห่ง 

ใน 7 จังหวัด ตั้งแต่จ.อุบลราชธานี ศรีษะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี ตราดและบุรีรัมย์

ประกอบด้วย จุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง 

จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง

แต่ปัจจุบันมีการปิดไปแล้ว 2 แห่ง คือ จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหมื่นด่าน จ.ตราด 

เนื่องจากไม่มีชาวบ้านสัญจร และไม่มีการส่งออก-นำเข้าสินค้า 

และช่องทางขึ้นเขาพระวิหาร ด้วยเหตุความมั่นคง 


ส่วนที่เหลือ 16 แห่ง หากรัฐบาลมีคำสั่งปิด ก็ย่อมส่งผลกระทบมหาศาล 

ทั้งในด้านเศรษฐกิจชายแดน และทำให้การค้าขายระหว่างกันหยุดชะงัก


ด่านชายแดนที่มีมูลค่าการค้าสูงสุดระหว่างไทยและกัมพูชา ได้แก่

ด่านคลองลึก-ปอยเปต ตั้งอยู่ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว 

เป็นด่านหลักที่มีการค้าขายหนาแน่นที่สุดระหว่างไทยและกัมพูชา

ด่านนี้รองรับการขนส่งสินค้าประมาณ 300 คันรถบรรทุกต่อวัน 

และมีการสัญจรของนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000 คนต่อวัน 


กระทรวงพาณิชย์วิเคราะห์ว่าแม้ปัจจุบัน (มิถุนายน 2568) 

จะมีการ “ปรับวันและเวลาเปิด-ปิดด่าน”

 เฉพาะการควบคุมคนเข้าออก ไม่กระทบการค้าสินค้าโดยรวม

แต่ถ้ามีการ “ปิดด่านอย่างถาวร” หรือ “ปิดหลายด่านพร้อมกัน” 

จะกระทบทันทีในระดับเวลาที่ต่างกันไป 

เช่น ระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน 

 (0-3 เดือน) : ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก 

โลจิสติกส์หยุด/เบี่ยงเบนเส้นทาง


ส่วนระยะกลาง (3-12 เดือน) : ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่ 

อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มกระทบ 


กรณีที่หนักขึ้นหากปิดต่อเนื่องระยะยาว (1 ปี) : 

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง 

ความสัมพันธ์ทางการค้าอาจเปลี่ยนไปสู่ช่องทางทางทะเลหรือผ่านประเทศอื่นแทน


**4) โอกาสในการบริหารความเสี่ยง

หากการปิดด่านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์แนะนำ ให้ควรพิจารณา 

คือ 1.การกระจายความเสี่ยงการค้าไปยังด่านอื่นที่ยังเปิดอยู่ 

2.การพัฒนาโลจิสติกส์ทางเลือก เช่น รถไฟ, ทางทะเล (ผ่านเวียดนาม/ลาว) 

3.การเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจให้ผู้ค้า


ส่วนนโยบายความช่วยเหลือด้านการค้า ในขณะนี้ยังคงต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อน



"กัมพูชา = คู่ค้าชายแดนลำดับที่ 4"


กัมพูชานั้นเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับที่ 4 ของไทย

แม้มูลค่าจะน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อนบ้านทั้งหมด

แต่ก็มีทิศทางการเติบโตที่มากที่สุด

การค้าชายแดนของไทยกับกัมพูชา

อยู่ในอันดับ 4 การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านทั้งหมด

ยอดล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2568 

เรามีการค้ากับกัมพูชาที่ 15,307 ล้านบาท แม้ยอดจะน้อยสุด 

แต่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงที่สุดคือ  16.5% 

โดยอันดับ 1 การค้าชายแดนกับมาเลเซีย มูลค่า 25,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7%

อันดับ 2 การค้าชายแดนกับลาว มูลค่า 24,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5%

อันดับ 3 การค้าชายแดนกับเมียนมา 16,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0%


นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ 

เปิดเผยว่า การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน นับว่าเติบโตต่อเนื่อง 


ขณะที่เศรษฐกิจของกัมพูชา ในกลุ่มอาเซียน 

นับว่ากัมพูชานั้นมาแรงถึงอันดับที่ 3 ของตาราง

ขณะที่ไทยเรารั้งท้าย โตแค่ 2.5  %

 เหนือกว่าแค่เมียนมาชาติเดียวเท่านั้น

โดยปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของกัมพูชาเติบโตที่ 6  %

พร้อมคาดการณ์ว่าปีนี้จะโตไปได้อีกที่ 6.3% 

ซึ่งจะทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 

เพิ่มขึ้นเป็น 5.1390 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แต่อย่างไรก็ตามความคาดหวังดังกล่าวเกิดขึ้น

ก่อนที่จะมีผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ

โดยปัจจุบันหากต่อรองไม่สำเร็จ

กัมพูชาจะโดนภาษีหนักที่สุดในกลุ่มอาเซียน คือ 49 %

เทียบกับไทยที่โดนเรียกเก็บในอัตรา 36 % 

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เศรษฐกิจของกัมพูชาได้รับแรงขับเคลื่อนหลัก ๆ 

มาจากการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และสินค้าด้านการเดินทาง 

ตลอดจนภาคการท่องเที่ยว การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และเกษตรกรรม

ที่มาข้อมูล : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

ที่มารูปภาพ : Freepik