แม้สหรัฐฯ จะเร่งทำข้อตกลงทางการค้ากับยุโรปและเอเชียเพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ Bank of America กลับเตือนว่า การค้าโลกยังไม่อาจกลับไปสู่ภาวะปกติได้ โดยข้อมูลจากดัชนีความไม่แน่นอนด้านการค้า (Trade Uncertainty Tracker) พบว่า ช่วงต้นปี 2568 ความไม่แน่นอนพุ่งขึ้นสูงถึง 9 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน แม้ว่าการเจรจาในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยฉุดดัชนีลงมาได้บ้าง แต่ก็ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1–2 เท่า ซึ่งมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจทั่วโลก
สรุปข่าว
แม้สหรัฐฯ จะเร่งทำข้อตกลงทางการค้ากับยุโรปและเอเชียเพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ Bank of America กลับเตือนว่า การค้าโลกยังไม่อาจกลับไปสู่ภาวะปกติได้ โดยข้อมูลจากดัชนีความไม่แน่นอนด้านการค้า (Trade Uncertainty Tracker) พบว่า ช่วงต้นปี 2568 ความไม่แน่นอนพุ่งขึ้นสูงถึง 9 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน แม้ว่าการเจรจาในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยฉุดดัชนีลงมาได้บ้าง แต่ก็ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1–2 เท่า ซึ่งมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจทั่วโลก
หนึ่งในสาเหตุหลักคือโครงสร้างของข้อตกลงการค้าหลายฉบับที่ยังคงมีความคลุมเครือ ขาดกลไกบังคับใช้ที่ชัดเจนและเข้มงวด ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเจรจาใหม่ หรือกลายเป็นข้อพิพาทซ้ำซ้อนในอนาคต ขณะเดียวกัน ศาลฎีกาสหรัฐฯ ก็กำลังพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของอำนาจพิเศษที่รัฐบาลใช้ในการขึ้นภาษี ซึ่งยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเสถียรภาพทางการค้าในระยะยาว
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องภาษีโดยตรง แต่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายยังส่งผลให้หลายบริษัทตัดสินใจชะลอการลงทุนและลดการใช้จ่ายด้านทุน ซึ่งจากการประเมินของ Bank of America อาจทำให้ GDP ในยุโรปหดตัวได้เกือบร้อยละ 1 ภายในสามไตรมาส ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็เคยประเมินว่า ความตึงเครียดทางการค้าในอดีตเคยทำให้ GDP โลกหดตัวลงถึงร้อยละ 0.8 สะท้อนว่าผลกระทบเชิงโครงสร้างจากนโยบายการค้าสามารถกดดันเศรษฐกิจโลกได้ในวงกว้าง
แม้จะมีกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น NAFTA ฉบับใหม่กับแคนาดาและเม็กซิโก หรือ RCEP ในเอเชีย แต่ความผันผวนในตลาดเกิดใหม่อย่างบราซิลและเม็กซิโกยังคงสูง และยังสะท้อนความเปราะบางที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงในระบบการค้าโลก
