"เจนซีอเมริกัน" เลิกกินเที่ยว-ปาร์ตี้ฟุ่มเฟือย หันไปรัดเข็มขัด ประหยัด อดออม "Revenge Saving"

 วัยรุ่นอเมริกัน หันไปประหยัด เก็บเงิน เลิกฟุ่มเฟือย กับเทรนด์ เก็บเงินล้างแค้น "Revenge Saving" 


ความแค้นเกี่ยวอะไรกับการเงิน ? มาทำความรู้จักเทรนด์การใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการล้างแค้น  และ Revenge Spenging และ Revenge Saving  สองเทรนด์ที่ต่างกันสุดขั้ว อันหนึ่งใช้จ่ายแบบหนักหน่วงไม่คิดชีวิต กับอีกอันคือการรัดเข็มขัดเก็บเงินอย่างเดียว ซึ่งวันนี้เทรนด์การเก็บเงินเพื่อล้างแค้นกำลังมาแรงในเจนซีของสหรัฐอเมริกา 


จุดเริ่มต้นของกระแส “Revenge Spending"  ใช้จ่ายเพื่อแก้แค้น จากการใช้จ่ายการสุดขั้ว  ในช่วงเวลาที่โลกเปิดอีกครั้งหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 มีการใช้จ่ายบูมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เปรียบเหมือนคนใช้เงินอย่างหนักเพื่อแก้แค้น เหมือนระบายความอัดอั้นไม่ได้ใช้จ่ายเต็มที่ในช่วงล็อกดาวน์  มาสู่วันนี้สวนทางตรงกันข้าม นั้นคือการประหยัดแบบสุดทาง กลายเป็นกระแส “Revenge Saving”  ยุคที่การใช้จ่ายชะลอตัวอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา โดยเพราะ Gen Z ในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังหันมาออมเงินอย่างจริงจังและเข้มงวด 


ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าเจนซีเกือบ 60% ให้ความสำคัญกับการออมมากกว่าการใช้จ่าย และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้สามารถเก็บออมได้ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังมีถึง 55% ที่ยอมรับว่าเงินออมไม่เพียงพอสำหรับเหตุฉุกเฉินสามเดือน แต่ความตั้งใจในการสะสมเงินและลดหนี้กลับชัดเจนกว่าเจเนอเรชันอื่น ๆ ในปัจจุบัน


นอกจากนี้การศึกษาของ Santander Bank ชี้ว่า 58% ของ Gen Z สามารถเพิ่มเงินออมได้ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2025 ซึ่งสูงกว่าทั้ง Millennials และ Baby Boomers นี่คือสัญญาณว่าเจเนอเรชันที่อายุน้อยที่สุดในตลาดแรงงานอเมริกันกำลังใช้ความระมัดระวังทางการเงินเหนือกว่าคนรุ่นก่อน


สาเหตุที่ทำให้เจนซีเปลี่ยนพฤติกรรม มาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและปากท้อง  โดยเฉพาะค่าเช่าและค่าครองชีพสูงจนกินรายได้ไปมากกว่า 30% ของเงินเดือน และอาจสูงถึงครึ่งหนึ่งของเงินเดือนสำหรับบางคนด้วยซ้ำ ซึ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้หมายความว่าการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากไม่เลือกประหยัดก็ไม่มีอนาคตรออยู่


และที่สำคัญ คือ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวหรือพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่ยังสะเทือนไปเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯอีกด้วย เพราะการบริโภคภาคครัวเรือน คือ เครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนจีดีพี หากคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริโภคสำคัญ รัดเข็มขัด ไม่ควักเงินออกมาใช้ ระบบเศรษฐกิจเองก็ไม่อาจจะอยู่ได้ ผลกระทบก็ย่อมกระจายไปถึงธุรกิจค้าปลีก บริการ และแม้แต่ภาคการผลิต


แต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์บางคนก็ยังมองเทรนด์นี้ในแง่บวก เพราะพฤติกรรมการประหยัดและการออมของ Gen Z อาจสร้างวินัยทางการเงินในระยะยาว และทำให้สังคมอเมริกันมีฐานะการเงินที่มั่นคงขึ้นในอนาคต แม้วันนี้จะเห็นยอดขายสินค้าลดลง แต่ในอีกสิบปีข้างหน้าคนรุ่นนี้อาจเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนและการเติบโตอย่างยั่งยืน


แต่อย่างไรก็ตามก่อนไปถึงความยั่งยืนนั้นได้ หมายความว่าวันนี้สหรัฐฯกำลังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจจะชะงักงัน กลายเป็นนิยามใหม่ของ American Dream ความฝันแบบอเมริกัน ที่ไม่ได้วัดกันว่าใครซื้อเยอะกว่ากัน แต่เอาชนะกันว่าใครเก็บเงินได้มากกว่า 


แน่นอนว่าภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นไปอีกจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น ที่คาดว่าจะมีผลไปถึงราคาสินค้าในประเทศ และภาวะเงินเฟ้อ และทุกอย่างกำลังจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลในปลายปีนี้ ที่คนเคยใช้จ่ายเต็มที่ อาจจะเปลี่ยนทิศไป 


สรุปข่าว

ทำความรู้จักเทรนด์การใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการล้างแค้น "Revenge Spenging" และ "Revenge Saving" สองเทรนด์ที่ต่างกันสุดขั้ว อันหนึ่งใช้จ่ายแบบหนักหน่วงไม่คิดชีวิต กับอีกอันคือการรัดเข็มขัดเก็บเงินอย่างเดียว ซึ่งวันนี้เทรนด์การเก็บเงินเพื่อล้างแค้นกำลังมาแรงมากๆในเจนซีของสหรัฐอเมริกา

 วัยรุ่นอเมริกัน หันไปประหยัด เก็บเงิน เลิกฟุ่มเฟือย กับเทรนด์ เก็บเงินล้างแค้น "Revenge Saving" 


ความแค้นเกี่ยวอะไรกับการเงิน ? มาทำความรู้จักเทรนด์การใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการล้างแค้น  และ Revenge Spenging และ Revenge Saving  สองเทรนด์ที่ต่างกันสุดขั้ว อันหนึ่งใช้จ่ายแบบหนักหน่วงไม่คิดชีวิต กับอีกอันคือการรัดเข็มขัดเก็บเงินอย่างเดียว ซึ่งวันนี้เทรนด์การเก็บเงินเพื่อล้างแค้นกำลังมาแรงในเจนซีของสหรัฐอเมริกา 


จุดเริ่มต้นของกระแส “Revenge Spending"  ใช้จ่ายเพื่อแก้แค้น จากการใช้จ่ายการสุดขั้ว  ในช่วงเวลาที่โลกเปิดอีกครั้งหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 มีการใช้จ่ายบูมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เปรียบเหมือนคนใช้เงินอย่างหนักเพื่อแก้แค้น เหมือนระบายความอัดอั้นไม่ได้ใช้จ่ายเต็มที่ในช่วงล็อกดาวน์  มาสู่วันนี้สวนทางตรงกันข้าม นั้นคือการประหยัดแบบสุดทาง กลายเป็นกระแส “Revenge Saving”  ยุคที่การใช้จ่ายชะลอตัวอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา โดยเพราะ Gen Z ในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังหันมาออมเงินอย่างจริงจังและเข้มงวด 


ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าเจนซีเกือบ 60% ให้ความสำคัญกับการออมมากกว่าการใช้จ่าย และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้สามารถเก็บออมได้ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังมีถึง 55% ที่ยอมรับว่าเงินออมไม่เพียงพอสำหรับเหตุฉุกเฉินสามเดือน แต่ความตั้งใจในการสะสมเงินและลดหนี้กลับชัดเจนกว่าเจเนอเรชันอื่น ๆ ในปัจจุบัน


นอกจากนี้การศึกษาของ Santander Bank ชี้ว่า 58% ของ Gen Z สามารถเพิ่มเงินออมได้ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2025 ซึ่งสูงกว่าทั้ง Millennials และ Baby Boomers นี่คือสัญญาณว่าเจเนอเรชันที่อายุน้อยที่สุดในตลาดแรงงานอเมริกันกำลังใช้ความระมัดระวังทางการเงินเหนือกว่าคนรุ่นก่อน


สาเหตุที่ทำให้เจนซีเปลี่ยนพฤติกรรม มาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและปากท้อง  โดยเฉพาะค่าเช่าและค่าครองชีพสูงจนกินรายได้ไปมากกว่า 30% ของเงินเดือน และอาจสูงถึงครึ่งหนึ่งของเงินเดือนสำหรับบางคนด้วยซ้ำ ซึ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้หมายความว่าการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากไม่เลือกประหยัดก็ไม่มีอนาคตรออยู่


และที่สำคัญ คือ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวหรือพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่ยังสะเทือนไปเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯอีกด้วย เพราะการบริโภคภาคครัวเรือน คือ เครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนจีดีพี หากคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริโภคสำคัญ รัดเข็มขัด ไม่ควักเงินออกมาใช้ ระบบเศรษฐกิจเองก็ไม่อาจจะอยู่ได้ ผลกระทบก็ย่อมกระจายไปถึงธุรกิจค้าปลีก บริการ และแม้แต่ภาคการผลิต


แต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์บางคนก็ยังมองเทรนด์นี้ในแง่บวก เพราะพฤติกรรมการประหยัดและการออมของ Gen Z อาจสร้างวินัยทางการเงินในระยะยาว และทำให้สังคมอเมริกันมีฐานะการเงินที่มั่นคงขึ้นในอนาคต แม้วันนี้จะเห็นยอดขายสินค้าลดลง แต่ในอีกสิบปีข้างหน้าคนรุ่นนี้อาจเป็นแรงขับเคลื่อนการลงทุนและการเติบโตอย่างยั่งยืน


แต่อย่างไรก็ตามก่อนไปถึงความยั่งยืนนั้นได้ หมายความว่าวันนี้สหรัฐฯกำลังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจจะชะงักงัน กลายเป็นนิยามใหม่ของ American Dream ความฝันแบบอเมริกัน ที่ไม่ได้วัดกันว่าใครซื้อเยอะกว่ากัน แต่เอาชนะกันว่าใครเก็บเงินได้มากกว่า 


แน่นอนว่าภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นไปอีกจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น ที่คาดว่าจะมีผลไปถึงราคาสินค้าในประเทศ และภาวะเงินเฟ้อ และทุกอย่างกำลังจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลในปลายปีนี้ ที่คนเคยใช้จ่ายเต็มที่ อาจจะเปลี่ยนทิศไป 


งานวิจัยจากผลสำรวจของ PricewaterhouseCoopers หรือ PwC ล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมา ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนอย่างน่าตกใจว่า ช่วงเทศกาลปลายปีนี้ ซึ่งปกติแล้วเป็นฤดูกาลทองแห่งการชอปปิง กำลังเปลี่ยนแปลงปไป เพราะจับจ่ายใช้จ่ายจะถูกบีบให้คึกคักน้อยลง เพราะคนอเมริกันโดยรวมเตรียมหั่นค่าใช้จ่ายลงไปมากที่สุดนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะ Gen Z หรือเด็กวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจประหยัด หั่นงบเฉลิมฉลองลงเฉลี่ยถึง 23% สวนทางหรือตรงกันข้ามกับปีก่อน ที่เพิ่มการใช้จ่ายมากกว่า 30% การพลิกผันการใช้จ่ายฟ้ากับเหวภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มีความเปราะบางในเศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดขึ้นแล้วจริงๆ 


เมืองใหญ่ของอเมริกาในวันนี้  คนรุ่นใหม่ออกไปแฮงเอาต์ที่บาร์หรูน้อยลง แต่หันไปรวมตัวทำพิซซ่าเองที่บ้าน หรือการนัดเพื่อนมานั่งคุยแบบเรียบง่าย และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่กระแสหรือเทรนด์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณว่าคนหนุ่มสาวกำลังปรับพฤติกรรมการบริโภคอย่างจริงจัง พวกเขาลดค่าใช้จ่ายลงเฉลี่ยกว่า 13% ในช่วงต้นปี หลีกเลี่ยงอาหารนอกบ้านที่มีราคาแพง และพยายามหาความสุขจากสิ่งที่ไม่ทำให้กระเป๋าสตางค์บางลง 


PwC ซึ่งสำรวจผู้บริโภคชาวอเมริกันประมาณ 4,000 คน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม 2568 ระบุว่า ผู้บริโภคโดยเฉลี่ยวางแผนที่จะใช้จ่ายประมาณ 1,552 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ลดลง 5.3% จากปีที่แล้ว ครั้งล่าสุดที่ลดลงคือในปี 2020 ซึ่งการใช้จ่ายเฉลี่ยลดลง 7.6% เหลือ 1,187 ดอลลาร์สหรัฐ


ผู้บริโภคประมาณ 84% คาดว่าจะลดการใช้จ่ายในช่วงหกเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดเสื้อผ้า สินค้าราคาแพง และการรับประทานอาหารนอกบ้าน ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งกล่าวว่าการขึ้นราคาสินค้าน่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในช่วงวันหยุด


อัตราเงินเฟ้อและผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ทำให้ผู้ซื้อระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการซื้อตามดุลยพินิจ ขณะเดียวกัน ผู้ค้าปลีกหลักของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความต้องการที่ไม่แน่นอนก่อนถึงช่วงเทศกาลวันหยุดที่สำคัญ


PwC กล่าวว่า  ผู้บริโภคกำลังตัดสินใจซื้อของในช่วงวันหยุดมากขึ้น โดยตัดสินใจว่าอะไรสำคัญที่สุด ควรลดการใช้จ่ายลงตรงไหน และอะไรคุ้มค่ากับการทุ่มเงิน


ผลสำรวจระบุว่า การใช้จ่ายเพื่อซื้อของขวัญจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยลดลง 11% เหลือ 721 ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 814 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว งบประมาณของกลุ่มคนรุ่น Gen Z คาดว่าจะลดลง 23% เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 37% ในปี 2024


Kelly Pedersen หุ้นส่วนของ PwC กล่าวว่า จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมร้านค้าในกลุ่ม Gen Z เพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขาต้องการประสบการณ์ดังกล่าว แต่พวกเขาไม่ได้ทำธุรกรรมในร้านโดยตรง หรือไม่ได้ซื้อของในร้านแค่แวะไปดูหรือถ่ายรูปเท่านั้น  


ก่อนจะมาถึงเจนซีอเมริกัน กระแสของการรัดเข็มขัดประหยัดสุดโต่งก็มีมาแล้วเช่นกันและกำลังเกิดขึ้นไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีน เมื่อคนรุ่นใหม่เลือกออมเงินแทนก่อหนี้


ย้อนกลับไปนับตั้งแต่ปีที่แล้ว บนโซเชียลมีเดียของจีนแผ่นดินใหญ่ได้เกิดเทรนด์ของ Gen Z ออกมาบอกว่า พวกเขาเลือกที่จะเก็บเงินเพื่อล้างแค้น (Revenge Saving) พร้อมแนะเคล็ดลับในการประหยัดเงินขึ้นมาแชร์กันมากมาย


เช่น อินฟลูเอนเซอร์บางคน ทำคอนเทนต์เรื่องการประหยัดด้านงบอาหาร ไว้ที่ 300 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 1,500 บาท พร้อมทำคลิปวิดีโอว่าในแต่ละวันเธอจัดการเรื่องอาหารอย่างไรให้อยู่ในงบวันละ 10 หยวนด้วย นอกจากนี้ยังมีการออกมาแชร์เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ชีวิตประหยัดได้มากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารจากร้านในย่านชุมชนที่มีราคาย่อมเยากว่า (ซึ่งปกติ ร้านอาหารในลักษณะนี้มักมีแต่ผู้สูงอายุเข้าไปใช้งาน)


CNBC รายงานถึงกระแสดังกล่าว พร้อมวิเคราะห์โดย Shaun Rein กรรมการผู้บริการบริษัท China market research group ว่า ถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจากวัยรุ่นในยุค 2010 ค่อนข้างมาก เนื่องจากวัยรุ่นในยุค 2010 มักใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋าจากแบรนด์ดัง โทรศัพท์ไอโฟน แต่วัยรุ่นยุคนี้พบว่าเริ่มหันมาสนใจการเก็บเงินมากกว่า


ด้าน Christopher Beddor รักษาการผู้อำนวยการของ Gavekal Dragonomics ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ Gen Z ชาวจีนหันมาประหยัดเงินว่า เป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเศรษฐกิจที่ไม่ดีเหมือนเดิม พวกเขาจึงเริ่มเก็บเงินเพื่อเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น


ต้องยอมรับว่าวันนี้เศรษฐกิจไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ใช่แค่อเมริกา หรือจีน แต่ยังรวมถึงไทยและทั่วโลก ความท้าทายรอบด้าน ทำให้วันนี้เทรนด์ของการประหยัดและรัดเข็มขัดจึงมาแรงกว่าการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ที่มาข้อมูล : Reuters PwC CNBC

ที่มารูปภาพ : Freepik TNN