แพงแต่ขายดี ชาเขียว "มัตจะ" Matcha เขย่าตลาดโลก เทรนด์มาแรง เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม

แพงแต่ขายดี ชาเขียว "มัตจะ" Matcha เขย่าตลาดโลก เทรนด์มาแรง เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม

"มัตจะ" ครองโลก ปรากฎการณ์ดื่มชาเขียวญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพ เทรนด์ฮิตคนยุคใหม่  


ปรากฎการณ์คลั่งรัก "มัตจะ" (Matcha) (หรือที่คนนิยมเขียนและเรียกว่า "มัทฉะ") กำลังลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ ทำให้ตอนนี้ราคาของมัตจะในตลาดโลกก็พุ่งสูงขึ้นไปแบบทะลุเพดาน  เพราะสินค้ามีจำนวนจำกัดและหายาก และการส่งผลดีต่อการส่งออกชาของญี่ปุ่นก็พุ่งตามด้วย 


เมืองไทยวันนี้ เราได้เห็นร้านชาเชียวมัตจะเปิดใหม่เพิ่มมากขึ้น หลายร้านโปรโมทความเป็นพรีเมี่ยม หรือสเปเชียลตี้ ทำให้เราได้เห็นว่ามีบางร้านอัพราคาไปถึงแก้วละ 300 บาท ถึง 400 บาทก็มี แม้กระทั่งร้านกาแฟหรือร้านชานมไข่มุกดังๆ ก็นำเมนูชาเขียวมาโปรโมทหรือแนะนำมากขึ้น 


เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกตอนนี้ กำลังเห่อ หรือคลั่งรัก มัตจะ ในฐานะของ super food คือ ดื่มเพื่อดูแลสุขภาพ ดีต่อร่างกาย แถมรสชาติก็อร่อย และที่สำคัญสำหรับยุคนี้ คือ เรื่องของไลฟ์สไตล์เแบบคนยุคใหม่ พิสูจน์ได้จาก แฮชแทค Matcha ในโซเชียลมีเดียยอดนิยมต่างๆ เช่น Tiktok มีชาวเน็ต โดยเฉพาะเจนซี ลงคลิป ลงรูป พรีเซนต์เมนูกันมากมาย พร้อมกับยอดไลค์นับล้านครั้ง เป็นการฉีกจากกฎเดิมๆ ที่เราอาจจะรู้สึกว่าชาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเอเชียเท่านั้น แต่วันนี้ชาวตะวันตกโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ กลุ่มของเจนซี หันมาฮิตดื่มมัตจะกันมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา 


ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 นำเข้าชาเขียวจากญี่ปุ่นมากที่สุด  ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ระบุว่า ปี 2567 การส่งออกชาเขียวของญี่ปุ่น(รวมมัตจะ) มีมูลค่าอยู่ที่ 36.4 พันล้านเยน และนับเป็นปีที่การส่งออกชาเขียวของญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นระบุว่า มูลค่าการส่งออกชาเขียวโดยรวมทั้งหมด เพิ่มขึ้น 25%  และปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 16% การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชาเขียวผง เช่น มัตจะ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ โดยตลาดใหญ่ที่สุดก็คือ สหรัฐอเมริกา มากถึง 44% ของการส่งออกทั้งหมด 


ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ น่าจับตา ทั้งในแง่ของการบริโภค เศรษฐกิจ ไปถึงวัฒนธรรม  CNBC รายงานว่า กระแสความนิยมมัตจะ หรือชาเขียวผงจากญี่ปุ่น กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดโลก  มัทฉะกำลังบูมในหมู่คนต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่น ต่างตั้งใจมาชิมชาของแท้ในประเทศ ร้านขายชาบางร้านในญี่ปุ่นวันนี้คึกคักและขายดีเป็นอย่างมาก มีลูกค้าต่างชาติมาอุดหนุนอย่างเนืองแน่น บางร้านขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่ช่วงบ่าย 


การดื่มชามัตจะเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติญี่ปุ่น มัตจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีชงชาญี่ปุ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และปกติแล้วจะใช้เพียงเล็กน้อย แต่ล่าสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความต้องการมัตจะกลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว  และกระแสที่เกิดขึ้นในเวลานี้กำลังช่วยสร้างมูลค่ามหาศาลจากญี่ปุ่นยกระดับไปสู่เวทีโลก เพราะเมื่อความต้องการพุ่งทะยานไป ราคาวัตถุดิบก็พุ่งขึ้นตามทันที


ด้านบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ อิโตเอน (Ito En) ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชาเขียวบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก ต้องตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลธุรกิจมัทฉะโดยตรง และเตรียมขึ้นราคาสินค้า 50% ถึง 100% ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ หลังเผชิญต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานสูงขึ้น ส่วนร้านชาเก่าแก่ในโตเกียวอย่าง “Chazen” ก็ปรับราคาขึ้น 30% ภายในหนึ่งปี เพราะไม่สามารถรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้  


แม้แต่ในกรุงโตเกียวก็มีรายงานว่ามัตจะกระปุกเล็กๆ หาซื้อได้ยากมากขึ้น บางร้านก็ต้องถึงขั้นประกาศจำกัดจำนวนการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุนและการนำไปขายต่อ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังคงมองว่ามัตจะเป็นของฝากยอดนิยม


และไม่ใช่เพียงแค่ในญี่ปุ่น มีรายงานผลกระทบไปทั่วโลก เช่น ร้านกาแฟในสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริเวณ Bay Area ต้องเผชิญวิกฤตขาดแคลนจนบางร้านถึงขั้นถอนเมนูมัตจะออกชั่วคราวหรือปรับราคาเพิ่มขึ้น 20–30% หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี ร้านชาเขียวเจ้าดังก็เคยประกาศงดขายผงชามัทฉะสำเร็จรูปไปนานหลายเดือนเพราะขาดแคลนวัตถุดิบจากญี่ปุ่น 



สรุปข่าว

กระแสคลั่งรัก ชาเขียว "มัทฉะ" ญี่ปุ่น กำลังมาแรง ในไทยวันนี้ แต่ปรากฎการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเรา แต่กำลังฮอตฮิตไปทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนซี ที่มองว่ามัทฉะนั้นดีต่อสุขภาพ กลายเป็นเทรนด์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

"มัตจะ" ครองโลก ปรากฎการณ์ดื่มชาเขียวญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพ เทรนด์ฮิตคนยุคใหม่  


ปรากฎการณ์คลั่งรัก "มัตจะ" (Matcha) (หรือที่คนนิยมเขียนและเรียกว่า "มัทฉะ") กำลังลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ ทำให้ตอนนี้ราคาของมัตจะในตลาดโลกก็พุ่งสูงขึ้นไปแบบทะลุเพดาน  เพราะสินค้ามีจำนวนจำกัดและหายาก และการส่งผลดีต่อการส่งออกชาของญี่ปุ่นก็พุ่งตามด้วย 


เมืองไทยวันนี้ เราได้เห็นร้านชาเชียวมัตจะเปิดใหม่เพิ่มมากขึ้น หลายร้านโปรโมทความเป็นพรีเมี่ยม หรือสเปเชียลตี้ ทำให้เราได้เห็นว่ามีบางร้านอัพราคาไปถึงแก้วละ 300 บาท ถึง 400 บาทก็มี แม้กระทั่งร้านกาแฟหรือร้านชานมไข่มุกดังๆ ก็นำเมนูชาเขียวมาโปรโมทหรือแนะนำมากขึ้น 


เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกตอนนี้ กำลังเห่อ หรือคลั่งรัก มัตจะ ในฐานะของ super food คือ ดื่มเพื่อดูแลสุขภาพ ดีต่อร่างกาย แถมรสชาติก็อร่อย และที่สำคัญสำหรับยุคนี้ คือ เรื่องของไลฟ์สไตล์เแบบคนยุคใหม่ พิสูจน์ได้จาก แฮชแทค Matcha ในโซเชียลมีเดียยอดนิยมต่างๆ เช่น Tiktok มีชาวเน็ต โดยเฉพาะเจนซี ลงคลิป ลงรูป พรีเซนต์เมนูกันมากมาย พร้อมกับยอดไลค์นับล้านครั้ง เป็นการฉีกจากกฎเดิมๆ ที่เราอาจจะรู้สึกว่าชาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเอเชียเท่านั้น แต่วันนี้ชาวตะวันตกโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ กลุ่มของเจนซี หันมาฮิตดื่มมัตจะกันมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา 


ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 นำเข้าชาเขียวจากญี่ปุ่นมากที่สุด  ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ระบุว่า ปี 2567 การส่งออกชาเขียวของญี่ปุ่น(รวมมัตจะ) มีมูลค่าอยู่ที่ 36.4 พันล้านเยน และนับเป็นปีที่การส่งออกชาเขียวของญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นระบุว่า มูลค่าการส่งออกชาเขียวโดยรวมทั้งหมด เพิ่มขึ้น 25%  และปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 16% การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชาเขียวผง เช่น มัตจะ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ โดยตลาดใหญ่ที่สุดก็คือ สหรัฐอเมริกา มากถึง 44% ของการส่งออกทั้งหมด 


ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ น่าจับตา ทั้งในแง่ของการบริโภค เศรษฐกิจ ไปถึงวัฒนธรรม  CNBC รายงานว่า กระแสความนิยมมัตจะ หรือชาเขียวผงจากญี่ปุ่น กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดโลก  มัทฉะกำลังบูมในหมู่คนต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่น ต่างตั้งใจมาชิมชาของแท้ในประเทศ ร้านขายชาบางร้านในญี่ปุ่นวันนี้คึกคักและขายดีเป็นอย่างมาก มีลูกค้าต่างชาติมาอุดหนุนอย่างเนืองแน่น บางร้านขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่ช่วงบ่าย 


การดื่มชามัตจะเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติญี่ปุ่น มัตจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีชงชาญี่ปุ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และปกติแล้วจะใช้เพียงเล็กน้อย แต่ล่าสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความต้องการมัตจะกลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว  และกระแสที่เกิดขึ้นในเวลานี้กำลังช่วยสร้างมูลค่ามหาศาลจากญี่ปุ่นยกระดับไปสู่เวทีโลก เพราะเมื่อความต้องการพุ่งทะยานไป ราคาวัตถุดิบก็พุ่งขึ้นตามทันที


ด้านบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ อิโตเอน (Ito En) ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชาเขียวบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก ต้องตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลธุรกิจมัทฉะโดยตรง และเตรียมขึ้นราคาสินค้า 50% ถึง 100% ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ หลังเผชิญต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานสูงขึ้น ส่วนร้านชาเก่าแก่ในโตเกียวอย่าง “Chazen” ก็ปรับราคาขึ้น 30% ภายในหนึ่งปี เพราะไม่สามารถรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้  


แม้แต่ในกรุงโตเกียวก็มีรายงานว่ามัตจะกระปุกเล็กๆ หาซื้อได้ยากมากขึ้น บางร้านก็ต้องถึงขั้นประกาศจำกัดจำนวนการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุนและการนำไปขายต่อ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังคงมองว่ามัตจะเป็นของฝากยอดนิยม


และไม่ใช่เพียงแค่ในญี่ปุ่น มีรายงานผลกระทบไปทั่วโลก เช่น ร้านกาแฟในสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริเวณ Bay Area ต้องเผชิญวิกฤตขาดแคลนจนบางร้านถึงขั้นถอนเมนูมัตจะออกชั่วคราวหรือปรับราคาเพิ่มขึ้น 20–30% หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี ร้านชาเขียวเจ้าดังก็เคยประกาศงดขายผงชามัทฉะสำเร็จรูปไปนานหลายเดือนเพราะขาดแคลนวัตถุดิบจากญี่ปุ่น 



รักมัตจะ แต่อาจจะต้องกระเป๋าฉีก เพราะปีนี้ผลผลิตยังคงมีน้อยจากปัญหาของโลกร้อน ราคายังแพง


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นเจอกับวิกฤตคลื่นความร้อน เป็นปีที่ร้อนที่สุดที่ญี่ปุ่นเคยบันทึกเอาไว้ และส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภูมิภาคเกียวโต ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลัก คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของผลผลิตเท็นฉะทั้งประเทศของญี่ปุ่น ส่งผลต่อเนื่องทำให้ผลผลิตชาเขียวมัตจะลดลงในปีนี้ 


ขณะเดียวกันราคาเท็นฉะในปีนี้ได้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์  จากการประมูลในเดือนพฤษภาคมที่เมืองเกียวโต ราคาพุ่งขึ้นไปเกือบ 2 เท่า หรือ 170% จากปีก่อน ไปแตะที่ระดับ 8,235 เยนต่อกิโลกรัม  ทำลายสถิติสูงสุดเดิมในปี 2016 ไปแล้ว ที่สำคัญ คือ แม้ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นจะพยายามเพิ่มผลผลิตมัทฉะมากแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในปัจจุบันได้ เนื่องจากต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี


เพราะ"ชาเขียวมัตจะ" ต่างจากชาเขียวทั่วไป ไม่ใช้เพียงแค่รสชาติ แต่เป็นกระบวนการผลิตทั้งหมดที่ซับซ้อน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "เทนฉะ" (Tencha) เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการทำมัทฉะ ต้องใช้กระบวนการเพาะปลูกที่เข้มข้นและแรงงานจำนวนมาก  ต้องบังร่มเงาให้ต้นชาเพื่อเพิ่มรสชาติเพื่อเพิ่มโคลโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ได้สีเขียวสดและรสอูมามิที่โดดเด่นก่อนเก็บเกี่ยว นึ่ง อบแห้ง และบดละเอียดเป็นผงที่เรียกว่า "เทนฉะ" ก่อนกลายเป็น "มัตจะ"  วิธีดื่มกินหรือบริโภคจึงเป็นการกินทั้งใบในรูปแบบผงละลายน้ำ ต่างจากชาเขียวทั่วไปที่เราต้องต้มแล้วกรองเอาใบออก 


ส่วนผลลัพธ์ ที่ได้นอกจากรสชาติที่ดีและแตกต่าง ก็คือ มัตจะมีคาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นกว่ามากกว่าชาเขียวทั่วไป  นอกจากนี้ยังมี L-theanine ที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายแต่ยังตื่นตัว ถือเป็นคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการสมดุลระหว่างพลังงานและความสงบ


และด้วยราคาที่พุ่งแรงโดดเด่น ทำให้หลายประเทศอยากจะคว้าส่วนแบ่งนี้มาครอบครอง โดยเฉพาะในอินเดีย มีรายงานว่าเกษตรกรเริ่มหันมาปลูกมัตจะมากขึ้น เพราะเห็นถึงผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม ราคาขายอยู่ระหว่าง 3,500–20,000 รูปีต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าชาแบบดั้งเดิมอย่างมาก และนี่อาจทำให้อินเดียก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งใหม่ในตลาดส่งออกมัตจะในอนาคตได้ แม้ว่าคุณภาพและภาพลักษณ์ของมัทฉะญี่ปุ่นยังคงครองตลาดในระดับพรีเมียมอยู่ก็ตาม


มัตจะกำลังกลายเป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรและอาหารที่มีมูลค่าตลาดเติบโตเร็วที่สุดในโลก ข้อมูลจาก Fortune Business Insights ปี 2024 ประเมินว่ามูลค่าตลาดมัตจะโลกในปี 2023 อยู่ที่ราว 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มจะขยายตัวแตะ 6.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 หรือเติบโตเฉลี่ย 7–9% ต่อปี  ขณะที่ Euromonitor International  ย้ำว่าเทรนด์สุขภาพและความใส่ใจในคุณภาพชีวิต คือแรงผลักดันหลักที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาดื่มมัตจะมากขึ้น

ที่มาข้อมูล : CNBC Reuters Indiatimes Euromonitor

ที่มารูปภาพ : Freepik