“ภาษีทองคำ” เสียงแตก พยุงค่าเงิน หรือ ซ้ำเติมอุตสาหกรรม

จากกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือแนวทางจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำในประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ และการซื้อขายเป็นเงินบาท เพื่อเป็นการชะลอผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดรอบ 4 ปี ขณะที่การซื้อขายทองคำด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หรือตลาดล่วงหน้าอาจจะได้รับการยกเว้น

สรุปข่าว

จากแนวคิดเรื่องของการจัดเก็บ “ภาษีทองคำ” ทำให้แฟนคลับ และนักลงทุนทองคำต่าง “ไม่ถูกใจสิ่งนี้” โดยเฉพาะเสียงจากฟากฝั่งของทั้งภาครัฐ และเอกชนบางส่วนที่มองว่า การส่งออกทองคำเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ฝั่งผู้ค้าทองคำกลับมองว่าการเก็บภาษีทองคำไม่ใช่ทางออก แล้วภาษีทองคำ จะสามารถแก้ปัญหา หรือว่าซ้ำเติมนักลงทุน

จากกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือแนวทางจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำในประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ และการซื้อขายเป็นเงินบาท เพื่อเป็นการชะลอผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดรอบ 4 ปี ขณะที่การซื้อขายทองคำด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หรือตลาดล่วงหน้าอาจจะได้รับการยกเว้น

โดยถ้าเราไปดูกันที่มูลค่าการส่งออกทองคำของไทยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2568 พบว่าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 69% เมื่อเทียบกับปี 2567 คิดเป็นมูลค่าราว 8,000 ล้านดอลลาร์สหัฐ หรือคิดเป็นราว 254,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาทองคำโลกปรับขึ้นเกือบ 40% นับตั้งแต่ต้นปี

โดยเฉพาะการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จนมีเสียงเรียกร้องให้มีการสอบสวนว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย หรือการฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งการส่งออกทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ก็ส่งผลต่อค่าเงินบาทให้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างมาก

ซึ่งทางกระทรวงการคลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย และมีแนวคิดในการจัดเก็บภาษีในรูปแบบของ "ภาษีธุรกิจเฉพาะ" หรือ  Special Business Tax หากผู้ขายทองคำแปลงรายได้จากเงินดอลลาร์เป็นเงินบาท ธุรกรรมดังกล่าวอาจถูกเก็บภาษี แต่ยังไม่มีการสรุปอัตราที่จะเรียกเก็บว่าจะอยู่ที่เท่าไร และจะตัดสินใจอีกครั้งหลังคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ารับตำแหน่ง

ที่มาข้อมูล : TNN WEALTH

ที่มารูปภาพ : CANVA