“คนละครึ่งพลัส” แจกสูงสุด 2,400 บาท ร้านค้ากลุ่ม VAT หวังลุ้นขยายโอกาสเข้าร่วม

“คนละครึ่งพลัส” แจกสูงสุด 2,400 บาท ร้านค้ากลุ่ม VAT หวังลุ้นขยายโอกาสเข้าร่วม

“คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นเศรษฐกิจ


ร้านค้ากลุ่ม VAT รอคอยความหวัง ลุ้นขยายโอกาสเข้าร่วม 


คืบหน้า "คนละครึ่งพลัส" รัฐบาลอนุทิน ชัดเจนมากขึ้น สำหรับเงื่อนไขฝั่งของ "ประชาชน" แต่อย่างไรก็ตามที่น่าจับตา คือ ในฝั่งของเงื่อนไข "ร้านค้า" ที่่จะเป็นแรงจูงใจให้คนเข้าโครงการ ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ และเป็นความหวังของภาคธุรกิจว่าจะเปิดโอกาสให้เข้าร่วมได้มากขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจได้มากกว่าเดิม  


ความเห็นจาก "นางฐนิวรรณ กุลมงคล" นายกสมาคมภัตตาคารไทย มองว่าโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นความหวังที่จะช่วย เพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารต่าง ๆ แต่การจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินให้ทั่วถึงกับภาคธุรกิจร้านอาหาร ที่เป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย อาจต้องมีการปรับมาตรการให้ร้านอาหารทุกประเภทสามารถเช้าร่วมโครงการได้ 


โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมถึง ร้านค้าที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เข้าร่วมด้วย เพื่อเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าร่วมและรับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล กลับได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และส่งผลทำให้ยอดขายลดลงในช่วงโครงการคนละครึ่ง 1.0  ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา


รวมไปถึงความเห็นจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณ“พลอย-พอลลี่ เฮสันต์” เจ้าของร้านชาดังของไทย "เจี้ยนชา"  ที่ให้สัมภาษณ์กับทาง TNN WEALTH ระบุว่า มาตรการของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม ย่อมเป็นผลดีกับทุกฝ่าย และสำหรับโครงการคนละครึ่งที่กำลังจะขึ้น หากรัฐบาลเปิดโอกาสขยายสิทธิให้ร้านค้าใหญ่หรือร้านจดทะเบียน VAT สามารถเข้าร่วมได้ เธอก็จะนำเจี้ยนชาเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งด้วยอย่างแน่นอน พร้อมเชื่อด้วยว่าจะมีลูกค้ามาอุดหนุนสินค้าของเธอมากขึ้นผ่านโครงการนี้ และมองว่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสร้างความคึกคักให้กับตลาดอาหารและเครื่องดื่มของไทย ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน  


ทั้งนี้ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีร้านค้าที่จดทะเบียนเป็น "นิติบุคคล" ประกอบไปด้วย SMEs กว่า  9 แสนราย หรือคิดเป็นถึง 30% ของผู้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทย ครอบคุลมตั้งแต่ภาคการผลิต เกษตร การค้าและบริการ โดยข้อมูลการจัดเก็บ VAT เมื่อปี 2567 พบว่าอยู่ที่ 947,000 ล้านบาท  รวมไปถึง Modern Trade ที่ถูกจำกัดสิทธิไม่ได้เข้าร่วม แต่เป็นช่องทางขายสินค้าให้ SMEs ต่างๆ พบว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ คิดเป็น 20-25% ของ GDP ไทย และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งรายได้เหล่านี้ได้กระจายกลับเข้าสู่ชุมชนปีละหลายหมื่นล้านบาท 


ดังนั้นหลายฝ่าย โดยเฉพาะในภาคเอกชน ตั้งแต่ระดับ SMEs ไปถึงหอการค้า และผู้ประกอบการต่างๆ จึงได้ออกมาเรียกร้องว่าหากมีการขยายเงื่อนไขเพิ่มเติมไปยังฝั่งร้านค้าด้วยเช่นกัน และเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าได้ ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นเม็ดเงินได้อีกหนึ่งทาง และเป็นการสร้างความเท่าเทียมกันในระบบเศรษฐกิจในฐานะผู้เสียภาษีให้แก่รัฐบาล รวมไปถึงการให้ Modern Trade สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ก็จะช่วย SMEs ไทยได้ทั้ง Value Chain 




สรุปข่าว

“คนละครึ่งพลัส” แจกสูงสุด 2,400 บาท เริ่มใช้ปลายตุลา 68 นี้ ร้านค้ากลุ่ม VAT รอคอยความหวัง ลุ้นขยายโอกาสเข้าร่วม

“คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นเศรษฐกิจ


ร้านค้ากลุ่ม VAT รอคอยความหวัง ลุ้นขยายโอกาสเข้าร่วม 


คืบหน้า "คนละครึ่งพลัส" รัฐบาลอนุทิน ชัดเจนมากขึ้น สำหรับเงื่อนไขฝั่งของ "ประชาชน" แต่อย่างไรก็ตามที่น่าจับตา คือ ในฝั่งของเงื่อนไข "ร้านค้า" ที่่จะเป็นแรงจูงใจให้คนเข้าโครงการ ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ และเป็นความหวังของภาคธุรกิจว่าจะเปิดโอกาสให้เข้าร่วมได้มากขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจได้มากกว่าเดิม  


ความเห็นจาก "นางฐนิวรรณ กุลมงคล" นายกสมาคมภัตตาคารไทย มองว่าโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นความหวังที่จะช่วย เพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารต่าง ๆ แต่การจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินให้ทั่วถึงกับภาคธุรกิจร้านอาหาร ที่เป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของประเทศไทย อาจต้องมีการปรับมาตรการให้ร้านอาหารทุกประเภทสามารถเช้าร่วมโครงการได้ 


โดยเฉพาะร้านอาหารที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมถึง ร้านค้าที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เข้าร่วมด้วย เพื่อเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าร่วมและรับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล กลับได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ และส่งผลทำให้ยอดขายลดลงในช่วงโครงการคนละครึ่ง 1.0  ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา


รวมไปถึงความเห็นจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ คุณ“พลอย-พอลลี่ เฮสันต์” เจ้าของร้านชาดังของไทย "เจี้ยนชา"  ที่ให้สัมภาษณ์กับทาง TNN WEALTH ระบุว่า มาตรการของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม ย่อมเป็นผลดีกับทุกฝ่าย และสำหรับโครงการคนละครึ่งที่กำลังจะขึ้น หากรัฐบาลเปิดโอกาสขยายสิทธิให้ร้านค้าใหญ่หรือร้านจดทะเบียน VAT สามารถเข้าร่วมได้ เธอก็จะนำเจี้ยนชาเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งด้วยอย่างแน่นอน พร้อมเชื่อด้วยว่าจะมีลูกค้ามาอุดหนุนสินค้าของเธอมากขึ้นผ่านโครงการนี้ และมองว่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสร้างความคึกคักให้กับตลาดอาหารและเครื่องดื่มของไทย ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน  


ทั้งนี้ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีร้านค้าที่จดทะเบียนเป็น "นิติบุคคล" ประกอบไปด้วย SMEs กว่า  9 แสนราย หรือคิดเป็นถึง 30% ของผู้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทย ครอบคุลมตั้งแต่ภาคการผลิต เกษตร การค้าและบริการ โดยข้อมูลการจัดเก็บ VAT เมื่อปี 2567 พบว่าอยู่ที่ 947,000 ล้านบาท  รวมไปถึง Modern Trade ที่ถูกจำกัดสิทธิไม่ได้เข้าร่วม แต่เป็นช่องทางขายสินค้าให้ SMEs ต่างๆ พบว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ คิดเป็น 20-25% ของ GDP ไทย และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งรายได้เหล่านี้ได้กระจายกลับเข้าสู่ชุมชนปีละหลายหมื่นล้านบาท 


ดังนั้นหลายฝ่าย โดยเฉพาะในภาคเอกชน ตั้งแต่ระดับ SMEs ไปถึงหอการค้า และผู้ประกอบการต่างๆ จึงได้ออกมาเรียกร้องว่าหากมีการขยายเงื่อนไขเพิ่มเติมไปยังฝั่งร้านค้าด้วยเช่นกัน และเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าได้ ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นเม็ดเงินได้อีกหนึ่งทาง และเป็นการสร้างความเท่าเทียมกันในระบบเศรษฐกิจในฐานะผู้เสียภาษีให้แก่รัฐบาล รวมไปถึงการให้ Modern Trade สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ก็จะช่วย SMEs ไทยได้ทั้ง Value Chain 




ใครบ้างได้สิทธิ คนละครึ่งพลัส 2025 รวม 33 ล้านคน รับสูงสุด 2,400 บาท  


“นายภารดร ปริศนานันทกุล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ เปิดเผยถึงโครงการ“คนละครึ่งพลัส” ของรัฐบาลว่า การดำเนินโครงการจะใช้งบประมาณรวม 60,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชน 3 กลุ่มหลัก จำนวน 33 ล้านคน โดยแหล่งเงินรัฐบาลใช้วงเงินจากงบกลางฯ ปี 2568 ที่เหลืออยู่ และงบประมาณจากปี 2569 ดังนี้


กลุ่มที่ 1 คือ "ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"  จำนวน 13 ล้านคน  รับเงินเติม 1,700 บาทต่อเดือน รวมกับเงินเดิม 300 บาท  รวมเป็น 2,000 บาทต่อเดือนในงวดเดียว และเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ 

กลุ่มที่ 2 คือ “ผู้อยู่ในระบบภาษี”  จำนวน 11 ล้านคน (ทุกคนที่ยื่นแบบภาษี)  จะได้รับสิทธิพิเศษ 60/40  ประชาชนเติมเงิน  2,000 บาท  รัฐบาลสมทบ 2,400 บาท จับจ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท 

กลุ่มที่ 3 คือ “ผู้อยู่นอกระบบภาษี”  จำนวน 9 ล้านคน  ได้รับสิทธิ 50/50 ประชาชนเติมเงิน  2,000 บาท  รัฐบาลสมทบ 2,000 บาท จับจ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท 


โดยคาดว่าการลงทะเบียนจะเริ่มได้ประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 และจะเริ่มใช้เงินได้ไม่เกินปลายเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งวิธีร่วมโครงการและการใช้จ่ายเงินเหมือนกับคนละครึ่งในอดีต คือ ใช้ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง"  


ผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 มาแล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่  แต่สำหรับคนที่เคยร่วมแค่เฟส 1-4 หรือไม่เคยเข้าร่วมโครงการมาก่อนเลย จะต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด 


สำหรับงบประมาณที่นำมาใช้ภายใต้ "คนละครึ่งพลัส" แบ่งเป็นกลุ่มที่ 1 ใช้งบประมาณ 22,000 ล้านบาท ดึงมาจากงบเหลือจ่ายของงบ 2568  ส่วนกลุ่มที่ 2 และ 3 ใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท เป็นการดึงจากงบ ประมาณปี 2569