นารีขี่ม้าขาว "ซานาเอะ ทาคาอิจิ" (ว่าที่)นายกฯหญิงคนแรก "ญี่ปุ่น" สู่ยุคขวาจัด-อาเบะโนมิกส์

"ญี่ปุ่น" จะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์  “ซานาเอะ ทาคาอิชิ” 


แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็พร้อมกับจุดยืนสายอนุรักษ์นิยม หรือขวาจัด ที่สำคัญต้องจับตาเรื่องของเศรษฐกิจกันให้ดี เพราะเธอคนนี้คือ ลูกศิษย์ ของอดีตนายกฯผู้ล่วงลับ "ชินโซ อาเบะ" ที่จะพาแนวคิดแบบอาเบะโนมิกส์ กลับมาฟื้นญี่ปุ่นอีกครั้ง 


 "ซานาเอะ ทาคาอิชิ"  วัย 64 ปี ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP (พรรคเสรีประชาธิปไตย) พรรคสายอนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สาเหตุที่เธอถูกจับตาว่าจะได้มาเป็นนายกฯหญิงคนแรกในครั้งนี้ เนื่องจากพรรค LDP ของเธอนั้น ยังคงเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลของญี่ปุ่นและเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภามากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้หัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเธอ มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น เหลือเพียงแค่รอการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรอประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอคนนี้คือนายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น 


ซึ่งการเปลี่ยนหัวผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นกลางคันครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สาเหตุเป็นเพราะว่า "ชิเงรุ อิชิบะ" ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลสูญเสียที่นั่งเสียงข้างมากในสภาสูงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และทำให้ภายในพรรค LDP เกิดแรงกดดันอย่างหนัก


การขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯของทาคาอิจิในช่วงเวลานี้ อยู่ท่ามกลางปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้าและซับซ้อน ทั้งศึกในและศึกนอก ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีสหรัฐฯ  และล่าสุดที่กำลังเกิดดราม่า ก็คือ ปัญหาผู้อพยพในประเทศ และยังรวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคของเธอเองที่สะสมมานานแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


คำปราศรัยของเธอหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของเธอ กล่าวว่า  ทุกคนจะต้องทำงานหนักเหมือนม้าลากเกวียน โดยเฉพาะตัวเธอเองก็ไม่มีคำว่า work-life balance  เธอจะทำงาน ทำงาน และทำงานต่อไปเท่านั้น  เพื่อเปลี่ยนความกังวลของพี่น้องประชาชนให้กลายเป็นความหวังและมีอนาคตให้ได้ 


ทาคาอิจิ  สำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโกเบ ในปี 2527 เคยเป็นมือกลองวงเมทัลสมัยเรียน และเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และอาจารย์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว โดยชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2536 และเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวงในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และอดีตนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ


ทาคาอิจิ เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองขวาจัด หรือนักอนุรักษ์นิยมที่เคร่งครัด มีมุมมองด้านความมั่นคงที่แข็งกร้าวเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะผู้ล่วงลับ แม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็มีแนวคิคัดค้านการให้คู่สมรสใช้คนละนามสกุล และยังต่อต้านการสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สวนทางกับค่านิยมของคนรุ่นใหม่ 


การที่เธอมีจุดยืนที่แข็งกร้าว ทำให้ได้รับความนิยม สำหรับผู้สนับสนุนแนวทางชาตินิยม เพราะมองว่าเป็นความรักชาติ และหลายคนเชื่อว่า ญี่ปุ่นควรหลุดพ้นจากยุคการเมืองแบบประนีประนอมได้แล้ว ซึ่งความนิยมในกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาของญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น กังวลอิทธิพลของจีน  ความตึงเครียดเรื่องเกาหลีเหนือ ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องการผู้นำที่เด็ดขาดและกล้าที่จะเพิ่มอำนาจทางทหารของประเทศ 




สรุปข่าว

ประเทศญี่ปุ่นกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ คือ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” หัวหน้าพรรค LDP ที่มาพร้อมกับความหวังครั้งใหม่ ครั้งใหญ่ และเธอก็พร้อมสู้ทำงานแบบถวายชีวิต หรือไม่ต้องมี "work-lfie balance" และต้องจับตานโยบายของเธอ ในฐานะนักเมืองสายอนุรักษ์นิยม หรือขวาจัด โดยเฉพาะในแง่ของเศรษฐกิจ เพราะเธอคนนี้คือ ลูกศิษย์ ของอดีตผู้นำชินโซ อาเบะ ที่จะพาแนวคิดแบบอาเบะโนมิกส์ กลับมาฟื้นญี่ปุ่นอีกครั้ง

"ญี่ปุ่น" จะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์  “ซานาเอะ ทาคาอิชิ” 


แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็พร้อมกับจุดยืนสายอนุรักษ์นิยม หรือขวาจัด ที่สำคัญต้องจับตาเรื่องของเศรษฐกิจกันให้ดี เพราะเธอคนนี้คือ ลูกศิษย์ ของอดีตนายกฯผู้ล่วงลับ "ชินโซ อาเบะ" ที่จะพาแนวคิดแบบอาเบะโนมิกส์ กลับมาฟื้นญี่ปุ่นอีกครั้ง 


 "ซานาเอะ ทาคาอิชิ"  วัย 64 ปี ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP (พรรคเสรีประชาธิปไตย) พรรคสายอนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สาเหตุที่เธอถูกจับตาว่าจะได้มาเป็นนายกฯหญิงคนแรกในครั้งนี้ เนื่องจากพรรค LDP ของเธอนั้น ยังคงเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลของญี่ปุ่นและเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภามากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้หัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเธอ มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น เหลือเพียงแค่รอการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรอประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอคนนี้คือนายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น 


ซึ่งการเปลี่ยนหัวผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นกลางคันครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สาเหตุเป็นเพราะว่า "ชิเงรุ อิชิบะ" ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลสูญเสียที่นั่งเสียงข้างมากในสภาสูงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และทำให้ภายในพรรค LDP เกิดแรงกดดันอย่างหนัก


การขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯของทาคาอิจิในช่วงเวลานี้ อยู่ท่ามกลางปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้าและซับซ้อน ทั้งศึกในและศึกนอก ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีสหรัฐฯ  และล่าสุดที่กำลังเกิดดราม่า ก็คือ ปัญหาผู้อพยพในประเทศ และยังรวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคของเธอเองที่สะสมมานานแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


คำปราศรัยของเธอหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของเธอ กล่าวว่า  ทุกคนจะต้องทำงานหนักเหมือนม้าลากเกวียน โดยเฉพาะตัวเธอเองก็ไม่มีคำว่า work-life balance  เธอจะทำงาน ทำงาน และทำงานต่อไปเท่านั้น  เพื่อเปลี่ยนความกังวลของพี่น้องประชาชนให้กลายเป็นความหวังและมีอนาคตให้ได้ 


ทาคาอิจิ  สำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโกเบ ในปี 2527 เคยเป็นมือกลองวงเมทัลสมัยเรียน และเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และอาจารย์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว โดยชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2536 และเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวงในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และอดีตนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ


ทาคาอิจิ เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองขวาจัด หรือนักอนุรักษ์นิยมที่เคร่งครัด มีมุมมองด้านความมั่นคงที่แข็งกร้าวเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะผู้ล่วงลับ แม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็มีแนวคิคัดค้านการให้คู่สมรสใช้คนละนามสกุล และยังต่อต้านการสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สวนทางกับค่านิยมของคนรุ่นใหม่ 


การที่เธอมีจุดยืนที่แข็งกร้าว ทำให้ได้รับความนิยม สำหรับผู้สนับสนุนแนวทางชาตินิยม เพราะมองว่าเป็นความรักชาติ และหลายคนเชื่อว่า ญี่ปุ่นควรหลุดพ้นจากยุคการเมืองแบบประนีประนอมได้แล้ว ซึ่งความนิยมในกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาของญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น กังวลอิทธิพลของจีน  ความตึงเครียดเรื่องเกาหลีเหนือ ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องการผู้นำที่เด็ดขาดและกล้าที่จะเพิ่มอำนาจทางทหารของประเทศ 




สืบทอดและฟื้นคืน "อาเบะโนมิกส์” (Abenomics)"


ขณะที่ปัญหาปากท้องหรือเศรษฐกิจก็รุนแรงขึ้น และพรรคฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (CDP) ก็ยังไม่สามารถนำเสนอนโยบายที่น่าเชื่อถือหรือความมั่นใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้แรงพอ ทำให้คนญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นและยึดมั่นในพรรค LDP พรรคเก่าแก่ที่สร้างความมั่นคงให้ประเทศมาช้านาน ที่สำคัญ สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ดูเหมือนว่าอุดมการณ์ของอดีตนายกฯชินโซ อาเบะยังขายได้ โดยเฉพาะแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า "อาเบะโนมิกส์"


“อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) คือ ชื่อเรียกนโยบายเศรษฐกิจชุดใหญ่ ของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abeที่ได้เปิดตัวขึ้นหลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งเมื่อปลายปี 2012  เป้าหมายสำคัญคือการดึงประเทศออกจาก “ภาวะเงินฝืดเรื้อรัง” (deflation) และการเติบโตต่ำ และซบเซามายาวนานกว่า 20 ปี หลังเหตุการณ์ฟองสบู่แตกในช่วงปี 1990 


นโยบายนี้ตั้งอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า “ลูกศร 3 ดอก” (Three Arrows)  ลูกศรดอกแรกคือ “นโยบายการเงินผ่อนคลายขั้นรุนแรง” (aggressive monetary easing) ให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยและกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน และทำให้อัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ส่งผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัวในระยะสั้น 


ลูกศรดอกที่สองคือ “นโยบายการคลังแบบขยายตัว” (flexible fiscal policy) ใช้งบประมาณขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง ระบบขนส่ง และการพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ มีการออกงบกระตุ้นเศรษฐกิจหลายระลอก รวมมูลค่าหลายสิบล้านล้านเยน อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลทำให้หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง จนแตะระดับกว่า 260% ของ GDP ในปี 2020 ซึ่งเป็นสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 


ลูกศรดอกที่สามคือ “การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ” (structural reforms) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เปิดเสรีแรงงาน เพิ่มบทบาทสตรีในตลาดแรงงาน ปฏิรูปภาคเกษตรและภาคพลังงาน 


ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์บางส่วน เช่น พอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ เคยกล่าวในคอลัมน์ของ The New York Times ว่า “อาเบะโนมิกส์คือความพยายามที่กล้าหาญที่สุดของประเทศพัฒนาแล้วในการต่อสู้กับภาวะเงินฝืดโดยใช้เครื่องมือการเงินและการคลังเต็มรูปแบบ” เขาเห็นว่าแม้นโยบายจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ถือเป็น “การทดลองทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของโลกยุคหลังวิกฤตซับไพรม์” (Krugman, NYT, 2015)


อีกด้านหนึ่ง สถาบันวิจัย Nomura Institute และนักเศรษฐศาสตร์จาก IMF มองว่าอะเบะโนมิกส์ได้สร้างรากฐานสำคัญให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นเรียนรู้กลไกการผ่อนคลายเชิงปริมาณขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแบบอย่างให้ธนาคารกลางในยุโรปและสหรัฐฯ นำไปปรับใช้ในช่วงการระบาดของโควิด-19