ทองย่อเพื่อไปต่อ-ไม่ใช่ฟองสบู่ ลุ้นเป้าสิ้นปี 4,500 ดอลลาร์

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด ให้สัมภาษณ์ในรายการ WEALTH LIVE วันที่ 20 ตุลาคม 2568 วิเคราะห์ถึงการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้นของตลาดต่อข่าวท่าทีที่ผ่อนคลายลงของสงครามการค้า ซึ่งมีกำหนดเจรจาภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมแนวโน้มขาขึ้นของทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง

นพ.กฤชรัตน์ ยืนยันว่าการทะยานขึ้นของราคาทองคำตลอดปีนี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงสุดในบรรดาสินทรัพย์ทั่วโลก ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ แต่เกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับ

"การขึ้นของทองคำในรอบนี้มีปัจจัยสนับสนุนค่อนข้างเยอะ จึงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องฟองสบู่แตก" นพ.กฤชรัตน์กล่าว "ภาพหลักยังคงเป็นการย่อเพื่อไปต่อ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือสภาวะ De-dollarization ที่ธนาคารกลางทั่วโลกและกองทุนขนาดใหญ่ลดความน่าเชื่อถือในเงินดอลลาร์ และหันมาซื้อทองคำเก็บเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง"

นอกจากนี้ ตลาดยังคาดการณ์ด้วยความเชื่อมั่นสูงถึง 98% ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นต่อไป

สรุปข่าว

ราคาทองคำดิ่งแรงกว่า 190 เหรียญเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความกังวลให้นักลงทุนว่าอาจเป็นสัญญาณสิ้นสุดรอบขาขึ้นครั้งประวัติศาสตร์ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ จาก MTS Gold แม่ทองสุก มองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นเพียง "การย่อเพื่อไปต่อ" ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่แตก แนะนักลงทุนระยะยาวใช้เป็นจังหวะเข้าซื้อสะสม โดยให้จับตาแนวรับสำคัญที่ 4,200 ดอลลาร์ อย่างใกล้ชิด พร้อมเชื่อมั่นปัจจัยหนุนยังแข็งแกร่ง ดันเป้าหมายปลายปีสู่ระดับ 4,500 ดอลลาร์

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด ให้สัมภาษณ์ในรายการ WEALTH LIVE วันที่ 20 ตุลาคม 2568 วิเคราะห์ถึงการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้นของตลาดต่อข่าวท่าทีที่ผ่อนคลายลงของสงครามการค้า ซึ่งมีกำหนดเจรจาภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมแนวโน้มขาขึ้นของทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง

นพ.กฤชรัตน์ ยืนยันว่าการทะยานขึ้นของราคาทองคำตลอดปีนี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงสุดในบรรดาสินทรัพย์ทั่วโลก ไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ แต่เกิดจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับ

"การขึ้นของทองคำในรอบนี้มีปัจจัยสนับสนุนค่อนข้างเยอะ จึงไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องฟองสบู่แตก" นพ.กฤชรัตน์กล่าว "ภาพหลักยังคงเป็นการย่อเพื่อไปต่อ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือสภาวะ De-dollarization ที่ธนาคารกลางทั่วโลกและกองทุนขนาดใหญ่ลดความน่าเชื่อถือในเงินดอลลาร์ และหันมาซื้อทองคำเก็บเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง"

นอกจากนี้ ตลาดยังคาดการณ์ด้วยความเชื่อมั่นสูงถึง 98% ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นต่อไป

ท่ามกลางความผันผวน นพ.กฤชรัตน์ ได้แนะกลยุทธ์การลงทุนโดยแบ่งตามประเภทของนักลงทุนอย่างชัดเจน พร้อมให้แนวรับสำคัญทางเทคนิคเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ

  • สำหรับนักออมและนักลงทุนระยะยาว: "จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ควรเข้าซื้อ" การย่อตัวลงมาถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมทองคำด้วยเงินเย็น
  • สำหรับนักเก็งกำไร (ใช้ Leverage สูง): ต้องบริหารความเสี่ยงสูงสุด "อย่าเพิ่งเข้าซื้อ" ควรรอความชัดเจน เนื่องจากเป็นจุดวัดใจที่ราคาสามารถเหวี่ยงได้ทั้งสองทาง

แนวรับ-แนวต้านสำคัญในระยะสั้น:

  • แนวรับที่ไม่ควรหลุด: 4,200 ดอลลาร์ หากราคายังยืนเหนือระดับนี้ได้ใน 1-2 วันนี้ แสดงว่าการปรับฐานมีโอกาสจบสิ้น แต่หากหลุดแนวรับนี้ลงไป อาจปรับฐานต่อ
  • สัญญาณกลับตัว: หากราคาสามารถดีดกลับไปยืนเหนือ 4,320 ดอลลาร์ ได้ จะเป็นสัญญาณยืนยันว่าการพักฐานได้จบลงแล้ว และพร้อมที่จะไปต่อ

มานด์ยังแน่น-ลุ้นเป้าสิ้นปี 4,500 ดอลลาร์

นพ.กฤชรัตน์ ยังเปิดเผยว่า แม้ราคาจะปรับตัวลง แต่ความต้องการซื้อทองคำยังคงแข็งแกร่ง โดยในตลาด Gold Futures ของไทยมีแรงซื้อกลับเข้ามามหาศาลกว่า 110,000 สัญญา หรือคิดเป็นทองคำกว่า 33 ตันในคืนวันศุกร์ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ทองคำกายภาพเริ่มขาดตลาด สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น

"เรายังเชื่อว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก โดยมีเป้าหมายในสิ้นปีนี้ที่บริเวณ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์"