"ศุภจี" MOU "สิงคโปร์" ขายข้าว 1 แสนตัน เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฮับ"ความมั่นคงอาหารโลก"

Share on Line Share on Facebook Share on X
"ศุภจี" MOU "สิงคโปร์" ขายข้าว 1 แสนตัน เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฮับ"ความมั่นคงอาหารโลก"

"ศุภจี" MOU "สิงคโปร์" ขายข้าว 1 แสนตัน ดันไทยลุยฮับ "มั่นคงอาหารโลก" 


ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Ms. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าว ระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีไทย

          

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ และร่วมเป็นสักขีพยานกับนายลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามฝ่ายไทย และMs. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ ลงนาม ฝ่ายสิงคโปร์ 


โดยบันทึกความร่วมมือฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และขยายความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างสองประเทศ โดยรัฐบาลไทยตกลงที่จะขายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 1 แสนตัน ตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี 


ทั้งนี้ การซื้อขายจะดำเนินการตามหลักปฏิบัติทางการค้าสากล และในราคาตลาดโลกขณะนั้น ภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ มอบหมาย Singapore Food Agency (SFA) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ โดยบันทึกความร่วมมือฉบันนี้มีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี และสามารถต่ออายุได้ตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

         

นางศุภจีฯ กล่าวว่า แม้ปริมาณข้าวภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้จะมีปริมาณ 1 แสนตัน ซึ่งอาจไม่มากเมื่อเทียบกับการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ เพราะเป็นการวางรากฐานในการยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรไทย สู่ระดับสากล โดยเฉพาะในมิติของ "ความมั่นคงทางอาหาร" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของโลกในปัจจุบัน 


การที่รัฐบาลไทยสามารถจัดทำความร่วมมือแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลกับสิงคโปร์ ซึ่งมีระบบจัดการอาหารและมาตรฐานคุณภาพสูงได้ สะท้อนถึงศักยภาพ ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย 


โดยความร่วมมือครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทั้งสองประเทศร่วมกันจัดทำความร่วมมือในลักษณะนี้ สะท้อนถึงความไว้วางใจในข้าวไทยและระบบจัดการสินค้าเกษตรของไทย และยังนับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมเสถียรภาพด้านอาหารของอาเซียน ไทยพร้อมเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในการส่งมอบข้าวคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค และสร้างประโยชน์ร่วมให้แก่เกษตรกรและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ



สรุปข่าว

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Ms. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าว ระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีไทย

"ศุภจี" MOU "สิงคโปร์" ขายข้าว 1 แสนตัน ดันไทยลุยฮับ "มั่นคงอาหารโลก" 


ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Ms. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าว ระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีไทย

          

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ และร่วมเป็นสักขีพยานกับนายลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามฝ่ายไทย และMs. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ ลงนาม ฝ่ายสิงคโปร์ 


โดยบันทึกความร่วมมือฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และขยายความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างสองประเทศ โดยรัฐบาลไทยตกลงที่จะขายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 1 แสนตัน ตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี 


ทั้งนี้ การซื้อขายจะดำเนินการตามหลักปฏิบัติทางการค้าสากล และในราคาตลาดโลกขณะนั้น ภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ มอบหมาย Singapore Food Agency (SFA) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ โดยบันทึกความร่วมมือฉบันนี้มีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี และสามารถต่ออายุได้ตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

         

นางศุภจีฯ กล่าวว่า แม้ปริมาณข้าวภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้จะมีปริมาณ 1 แสนตัน ซึ่งอาจไม่มากเมื่อเทียบกับการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ เพราะเป็นการวางรากฐานในการยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรไทย สู่ระดับสากล โดยเฉพาะในมิติของ "ความมั่นคงทางอาหาร" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของโลกในปัจจุบัน 


การที่รัฐบาลไทยสามารถจัดทำความร่วมมือแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลกับสิงคโปร์ ซึ่งมีระบบจัดการอาหารและมาตรฐานคุณภาพสูงได้ สะท้อนถึงศักยภาพ ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย 


โดยความร่วมมือครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทั้งสองประเทศร่วมกันจัดทำความร่วมมือในลักษณะนี้ สะท้อนถึงความไว้วางใจในข้าวไทยและระบบจัดการสินค้าเกษตรของไทย และยังนับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมเสถียรภาพด้านอาหารของอาเซียน ไทยพร้อมเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในการส่งมอบข้าวคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค และสร้างประโยชน์ร่วมให้แก่เกษตรกรและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ



นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังเปิดเผยแนวทางในอนาคตว่า แนวคิดของความร่วมมือ ในลักษณะนี้จะไม่จำกัดอยู่เพียงเฉพาะข้าวเท่านั้น แต่จะขยายความครอบคลุมไปยังสินค้าเกษตรอื่นๆ ของไทย ในอนาคต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางการค้าใหม่ๆ รวมถึงจะขยายความร่วมมือไปยังประเทศคู่ค้ารายอื่นในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security Hub) ของภูมิภาคอย่างแท้จริงต่อไป


ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นตลาดข้าวที่มีศักยภาพของไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารจากข้อจำกัดของพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ไม่มีการเพาะปลูกข้าวเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวเพื่อบริโภคและสำรองเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร การลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างไทยและสิงคโปร์ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพด้านอาหารของสิงคโปร์ และยังช่วยยืนยันบทบาทของไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูงที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงให้เวทีโลกเห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็น Food Security Hub


สำหรับสถิติการส่งออกข้าวของไทยไปสิงคโปร์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) ไทยส่งออกข้าวไปสิงคโปร์แล้วปริมาณ 90,031 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีปริมาณ 85,742 ตัน โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย (ร้อยละ 49.99) ข้าวขาว (ร้อยละ 29.04) และ ข้าวหอมไทย (ร้อยละ 16.26) ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าข้าวอันดับสามของสิงคโปร์ มีส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 22.34 รองจากอินเดีย (ร้อยละ 42.82) และเวียดนาม (ร้อยละ 28.10)

ข้าว จีทูจี ไทย-สิงคโปร์ แค่จุดเริ่มต้น "ศุภจี"  เตรียมต่อยอดสินค้าเกษตร 


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความสำเร็จในการเจรจาขายข้าวให้กับประเทศสิงคโปร์ว่า การลงนามสัญญาซื้อขายข้าวดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่ดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐ (G-to-G) ซึ่งที่ผ่านมาการค้าข้าวระหว่างไทยกับสิงคโปร์เป็นการซื้อขายโดยภาคเอกชนเป็นหลัก แต่ครั้งนี้มีความสำคัญใน 2 มิติ คือ


1.เป็นความร่วมมือซื้อข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลครั้งแรก


2.เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารระหว่างประเทศ มากกว่าการค้าข้าวในเชิงพาณิชย์ทั่วไป


รัฐมนตรีพาณิชย์ กล่าว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด และในยุคที่โลกเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ และโรคระบาด หลายประเทศจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรม มีศักยภาพด้านสินค้าอาหารและวัตถุดิบ จึงสามารถเป็นพันธมิตรสำคัญในการส่งเสริมเสถียรภาพด้านอาหารให้กับประเทศคู่ค้า


โดยระบุว่า ข้อตกลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขายข้าว แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ เป็นโมเดลที่เริ่มต้นจากสินค้าข้าวจำนวน 100,000 ตันในระยะเวลา 5 ปี และสามารถต่อยอดสู่สินค้าเกษตรอื่น เช่น เนื้อหมู ไก่ และสินค้าเกษตรสดประเภทต่างๆ ได้ในอนาคต


ที่ผ่านมาประเทศไทยได้หารือกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ตะวันออกกลาง รวมถึงยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งหลายประเทศให้ความสนใจในโมเดล “Food Security” ของไทย โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารจำนวนมาก


นางศุภจี กล่าว“โมเดลนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ทั้งในมิติของประเทศและประเภทสินค้า โดยเริ่มจากการร่วมมือกับสิงคโปร์ในสินค้าข้าว และสามารถขยายผลไปสู่ประเทศอื่น รวมถึงสินค้าเกษตรประเภทอื่นในระยะต่อไป เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านอาหารในระดับภูมิภาคและระดับโลก” น


นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มการปรับโครงสร้างการค้าโลก (trade diversion) ที่หลายประเทศปรับแหล่งนำเข้าและส่งออกสินค้าใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน (world supply chain) ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้จังหวะนี้ในการวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ให้สินค้าเกษตรไทยมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก


ขณะที่การดำเนินนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลว่า จะผลักดันโครงการกว่า 20 โครงการ ครอบคลุม 7 นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ รวมกว่า 70 กิจกรรม อาทิ


– โครงการ “สุขกายสบายกระเป๋า” ความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาราคายุติธรรม


– โครงการธงฟ้าและธงเขียว เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตของเกษตรกร


– การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและแฟรนไชส์ โดยร่วมมือกับธนาคารเอสเอ็มอี (SME D Bank) เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กเติบโตได้รวดเร็วขึ้น


สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยใช้ข้อมูลพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานล่วงหน้า (Forecast) เพื่อประเมินผลกระทบต่อสินค้าและราคา พร้อมเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานภายในสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ที่มาข้อมูล : กระทรวงพาณิชย์

ที่มารูปภาพ : กระทรวงพาณิชย์