
“เอกนิติ” มั่นใจ มาตรการรัฐช่วยเศรษฐกิจไทยพ้นติดหล่ม ผลักดันปี 2569 ปีแห่งการลงทุนที่แท้จริง ชง "Thailand Fast Pass" ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Thailand 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ระบุว่า มาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เข้ามาทำงาน เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีคืน การเร่งเบิกจ่ายของรัฐบาล และโครงการตามสวัสดิการต่างๆ ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 นั้นสามารถเติบโตได้ รอดพ้นจากการภาวะติดหล่ม และจะขยายตัวได้มากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลย เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 0.3%
ทั้งนี้การฟื้นตัวที่ยั่งยืนจะต้องเน้นที่การลงทุนเพื่ออนาคต จุดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปในปี 2569 คือ ไทยจะต้องมีการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน โดยในปีหน้ารัฐบาลจะผลักดันให้เป็นปีแห่งการลงทุน ทั้งเรื่องการลงทุนคน เรื่องรีสกิล อัปสกิล คนไทยซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่ และการผลักดันให้มีการลงทุนโครงการใหญ่ๆ และการลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาด นำไปสู่ออโตเมชั่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการอัปเกรดการลงทุน เช่น ดาต้าเซนเตอร์ ที่ต้องการการลงทุนใหม่ และใช้นวัตกรรมทางการเงินทั้งเรื่องของการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไปต่อได้
นายเอกนิติ กล่าวว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารงาน คือ ยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจมีปัญหาจริง รัฐ จึงได้ออกมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และทยอยทำแล้ว ขณะเดียวกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องปรับมุมมองใหม่ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดวิธีการ แล้วออกแบบมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไปต่อได้
สรุปข่าว
“เอกนิติ” มั่นใจ มาตรการรัฐช่วยเศรษฐกิจไทยพ้นติดหล่ม ผลักดันปี 2569 ปีแห่งการลงทุนที่แท้จริง ชง "Thailand Fast Pass" ครม.เศรษฐกิจสัปดาห์หน้า
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Thailand 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ระบุว่า มาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เข้ามาทำงาน เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีคืน การเร่งเบิกจ่ายของรัฐบาล และโครงการตามสวัสดิการต่างๆ ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 นั้นสามารถเติบโตได้ รอดพ้นจากการภาวะติดหล่ม และจะขยายตัวได้มากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลย เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 0.3%
ทั้งนี้การฟื้นตัวที่ยั่งยืนจะต้องเน้นที่การลงทุนเพื่ออนาคต จุดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปในปี 2569 คือ ไทยจะต้องมีการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน โดยในปีหน้ารัฐบาลจะผลักดันให้เป็นปีแห่งการลงทุน ทั้งเรื่องการลงทุนคน เรื่องรีสกิล อัปสกิล คนไทยซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่ และการผลักดันให้มีการลงทุนโครงการใหญ่ๆ และการลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาด นำไปสู่ออโตเมชั่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการอัปเกรดการลงทุน เช่น ดาต้าเซนเตอร์ ที่ต้องการการลงทุนใหม่ และใช้นวัตกรรมทางการเงินทั้งเรื่องของการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไปต่อได้
นายเอกนิติ กล่าวว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารงาน คือ ยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจมีปัญหาจริง รัฐ จึงได้ออกมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และทยอยทำแล้ว ขณะเดียวกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องปรับมุมมองใหม่ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดวิธีการ แล้วออกแบบมาตรการต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไปต่อได้
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันจันทร์หน้า(24 พฤศจิกายน 2568) นายเอกนิติ กล่าวว่า ทางกระทรวงจะเสนอครม.เศรษฐกิจ ให้ปลดล็อคกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนจริง ประกอบไปด้วย 3 โครงการสำคัญ ได้แก่
1.โครงการ "Thailand Fast Pass" เพื่อปลดล็อกโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุน โดยมีโครงการที่มีความพร้อมที่จะลงทุนในปี 2569 กว่า 60 โครงการ 3 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้ยื่นคำขอ และได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องกฎระเบียบ ซึ่งเมื่ออนุมัติแล้วรัฐบาลจะใช้มติ ครม.เพื่อปลดล็อกการลงทุนโครงการเหล่านี้ให้เร็วขึ้น โดยโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการดาต้าเซนเตอร์ โครงการด้านการลงทุนพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV)หรือการลงทุนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่รอการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการปลดล็อกเพื่อให้มีการลงทุนได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตสร้างโรงงาน การขอน้ำ และไฟฟ้า ต้องมีการอนุมัติให้เร็ว
2.โครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย โดยใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มาอุดหนุนในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน การลดต้นทุน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เป็นการเปลี่ยนไปสู่โลกยุคใหม่
3.โครงการ Reskill / Upskill เพื่อสร้างบุคลากรทักษะสูง สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะให้บุคลากรประมาณ 100,000 คน
สำหรับโครงการการแก้หนี้ของเกษตรกร และการแก้หนี้ของผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอี (SMEs) นั้นขณะนี้กำลังหารือในรายละเอียดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยในการแก้ไขหนี้ของเอสเอ็มอีนั้นตอนนี้ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาตรการเงินที่เหลือจากกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน (FIDF) มาช่วยเอสเอ็มอี รวมทั้งการใช้บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)และการปล่อยกู้ให้กับซัพพลายเชน เพื่อเร่งการจ่ายเครดิตเทอม และให้แรงจูงใจในเรื่องของการลดภาษี หรือให้เครดิตการจ่ายคืนภาษีเร็ว โดยทำคู่กับกลไกการจัดทำเรื่องของ Trans formation ของภาคธุรกิจ
โครงการช่วยเหลือเกษตรกร จะมีการดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นที่หนี้ภาคเกษตร โดยปัจจุบันกำลังดูว่าจะแก้ไขในรูปแบบที่ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในอดีต หลักการสำคัญคือ จะไม่ให้เสียวินัย โดยจะนำหนี้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ในอดีตออกมา ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งการลดต้น และลดดอกเบี้ย
นายเอกนิติย้ำว่า หัวใจสำคัญคือ การช่วยเหลือพวกเขาด้วยการ เสริมทักษะ ให้ด้วย เพื่อไม่ให้กลับมาเป็น NPL อีกครั้ง เช่น การทำเกษตรสมัยใหม่ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้จะทยอยเข้า ครม.เศรษฐกิจ และครม.ต่อไป
- คลังยันไม่ขึ้น "VAT" ปีนี้ แต่เตรียมปรับขึ้นเป็นร้อยละ 8.5 ในปี 71
- ครม. เคาะ "แผนการคลังระยะปานกลาง" 5 ปี ตั้งเป้าลดขาดดุลเหลือ 3% ในปี 2572
- "สภาพัฒน์" เผย เศรษฐกิจไทยวูบหนัก ไตรมาสสุดท้ายอาจโตไม่ถึง 1% เหตุส่งออกชะลอตัว ย้ำเร่งเจรจาการค้า
- โครงการ "ปิดหนี้ไวไปต่อได้" ช่วยเหลือประชาชน มีหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท เช็คเงื่อนไขที่นี่ ใครมีสิทธิบ้าง?
- "คลัง" ลุยปราบ "เงินเทา" สกัดมิจฉาชีพ เร่งอุดช่องโหว่ เส้นทางสินทรัพย์ เงิน-คริปโท-ทองคำ-รถหรู
ที่มาข้อมูล : กระทรวงการคลัง
ที่มารูปภาพ : กระทรวงการคลัง
