สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมภาคเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา

Share on Line Share on Facebook Share on X
สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมภาคเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา

สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา


นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่าผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แม้การประเมินความเสียหายจะบอกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ สศช. มีกรอบในการประเมินผลกระทบ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบจากอุทกภัย 


ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน ซึ่งต้องกำกับดูแลการตั้งราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็นและการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งต้องเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และควรมีมาตรการฟื้นฟูและสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่ เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องมือ 


ขณะเดียวกัน สศช. รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2568  พบว่าสถานการณ์แรงงานหดตัวลงเล็กน้อยโดยเฉพาะจากภาคเกษตรกรรมลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับราคาสินค้า และการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วม


ทั้งนี้ไตรมาส 3 ของปีนี้ ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.9 ล้านคน ลดลง 0.5 % จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาส 7 ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพด้านการเกษตร และเคลื่อนย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่นที่ได้รับผลตอบแทนมากกว่า ตลอดจนสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรเกือบ 2 แสนราย และพื้นที่การเกษตรกว่า 6.2 แสนไร่ 


ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 0.6% โดยสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้า สาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% จากสถานการณ์อุทกภัย ขณะที่สาขานอกภาคเกษตนขยายตัว0.6% gฉพาะสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่ขยายตัว 4.9% รองลงมาเป็นสาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก ที่ขยายตัว 2.6% และ 1.5% ตามลำดับ ส่วนสาชาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการก่อสร้างลดลง 0.7%และ 5.4% ตามลำดับ


ส่วนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานค่อนข้างทรงตัวโดยในภาพรวมอยู่ที่ 43.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ภาคเอกชนอยู่ที่ 47.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งผู้ทำงานต่ำระดับ และผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 25.7 และ 6.9 ตามลำดับ  ส่วนค่าจ้างแรงงานของลูกจ้างภาคเอกชนและแรงงาน ในระบบเพิ่มขึ้น1.3% และ 1.6% ตามลำดับ แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของกลุ่มอาชีพอิสระลดลง 2.9 % ทำให้ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมลดลง 0.3% ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย


สำหรับอัตราว่างงานในภาพรวมลดลง อยู่ที่ 0.76% หรือมีผู้ว่างงาน 3.1 ล้านคน ส่วนอัตราว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 8.7% จากผู้เสมือนว่างงานในภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น


สรุปข่าว

สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา

สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา


นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่าผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แม้การประเมินความเสียหายจะบอกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ สศช. มีกรอบในการประเมินผลกระทบ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบจากอุทกภัย 


ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน ซึ่งต้องกำกับดูแลการตั้งราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็นและการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งต้องเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และควรมีมาตรการฟื้นฟูและสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่ เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องมือ 


ขณะเดียวกัน สศช. รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2568  พบว่าสถานการณ์แรงงานหดตัวลงเล็กน้อยโดยเฉพาะจากภาคเกษตรกรรมลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับราคาสินค้า และการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วม


ทั้งนี้ไตรมาส 3 ของปีนี้ ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.9 ล้านคน ลดลง 0.5 % จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาส 7 ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพด้านการเกษตร และเคลื่อนย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่นที่ได้รับผลตอบแทนมากกว่า ตลอดจนสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรเกือบ 2 แสนราย และพื้นที่การเกษตรกว่า 6.2 แสนไร่ 


ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 0.6% โดยสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้า สาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% จากสถานการณ์อุทกภัย ขณะที่สาขานอกภาคเกษตนขยายตัว0.6% gฉพาะสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่ขยายตัว 4.9% รองลงมาเป็นสาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก ที่ขยายตัว 2.6% และ 1.5% ตามลำดับ ส่วนสาชาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการก่อสร้างลดลง 0.7%และ 5.4% ตามลำดับ


ส่วนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานค่อนข้างทรงตัวโดยในภาพรวมอยู่ที่ 43.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ภาคเอกชนอยู่ที่ 47.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งผู้ทำงานต่ำระดับ และผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 25.7 และ 6.9 ตามลำดับ  ส่วนค่าจ้างแรงงานของลูกจ้างภาคเอกชนและแรงงาน ในระบบเพิ่มขึ้น1.3% และ 1.6% ตามลำดับ แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของกลุ่มอาชีพอิสระลดลง 2.9 % ทำให้ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมลดลง 0.3% ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย


สำหรับอัตราว่างงานในภาพรวมลดลง อยู่ที่ 0.76% หรือมีผู้ว่างงาน 3.1 ล้านคน ส่วนอัตราว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 8.7% จากผู้เสมือนว่างงานในภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ สศช.ได้รายงานตัวเลขหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 68 ลดลง 0.3% หรือมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท จากความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากครัวเรือนมีคุณภาพสินเชื่อลดลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาส 1 ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6


ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไปหรือ NPLs จากข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ


อย่างไรก็ตาม สัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ SMLs ปรับลดลงเหลือ 3.18% จาก 4.25% เป็นผลจากมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะถัดไปหนี้เสียอาจมีแนวโน้มลดลง


ส่วนการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน หรือการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later - BNPL) ไตรมาสสาม ปี 68 ลดลง 0.3% และ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง


สำหรับการโอนหนี้รายย่อยเข้าสู่ระบบ AMC เป็นมาตรการที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยลดระดับหนี้ครัวเรือน และปลดล็อกการปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินได้มากขึ้น แต่รัฐบาลและสื่อมวลชนจะต้องสื่อสารกับลูกหนี้ให้เข้าใจ และให้ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ตามกรอบระยะเวลาโครงการ จึงจะสามารถบรรลุเป้าที่วางเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันการปล่อยสินเชื่อใหม่ หลังจากโอนหนี้เข้าสู่ระบบ AMC แล้วจะต้องพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพ ที่อยู่ในระบบซัพพลายเชน ของตลาดโลกและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งจะส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อใหม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามไปด้วย