
ชาวสเปนจำนวนหลายพันคนได้ออกมารวมตัวประท้วงบนหมู่เกาะคานารี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยการชุมนุมครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อปกป้องสิทธิ์ของชาวท้องถิ่นที่กำลังเผชิญผลกระทบอย่างรุนแรงจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ (Mass Tourism)
ผู้ประท้วงระบุว่า แม้การท่องเที่ยวจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเกาะคานารี แต่ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากถึงกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน เริ่มกลายเป็นภาระอย่างหนักสำหรับประชากรท้องถิ่นกว่า 2.2 ล้านคน โดยเฉพาะในด้านค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ปัญหาการจราจรที่แออัดเกินความสามารถของโครงสร้างพื้นฐาน และความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าโรงแรมบนเกาะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วง 50 ปีก่อน ส่งผลโดยตรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะปริมาณการใช้น้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อระบบนิเวศของเกาะที่มีความเปราะบางสูง
สรุปข่าว
ชาวสเปนจำนวนหลายพันคนได้ออกมารวมตัวประท้วงบนหมู่เกาะคานารี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยการชุมนุมครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อปกป้องสิทธิ์ของชาวท้องถิ่นที่กำลังเผชิญผลกระทบอย่างรุนแรงจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ (Mass Tourism)
ผู้ประท้วงระบุว่า แม้การท่องเที่ยวจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเกาะคานารี แต่ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากถึงกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน เริ่มกลายเป็นภาระอย่างหนักสำหรับประชากรท้องถิ่นกว่า 2.2 ล้านคน โดยเฉพาะในด้านค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ปัญหาการจราจรที่แออัดเกินความสามารถของโครงสร้างพื้นฐาน และความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าโรงแรมบนเกาะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วง 50 ปีก่อน ส่งผลโดยตรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะปริมาณการใช้น้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อระบบนิเวศของเกาะที่มีความเปราะบางสูง
การเติบโตของการท่องเที่ยวในลักษณะปริมาณมากหรือ Mass Tourism สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เปราะบาง เช่น หมู่เกาะคานารี ซึ่งเป็นระบบนิเวศแบบปิด การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร พลังงาน และการจัดการของเสีย ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น หาดทราย ป่าเขา และพื้นที่อนุรักษ์ ต้องรองรับคนจำนวนมากเกินศักยภาพของพื้นที่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสายการบิน การใช้รถเช่าจำนวนมาก และการขยายตัวของโรงแรมและรีสอร์ท ยังส่งผลให้พื้นที่สีเขียวถูกแปรสภาพไปเป็นสิ่งปลูกสร้าง เพิ่มมลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ส่งผลต่อระบบนิเวศทั้งทางตรงและทางอ้อม
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการแทรกแซงของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินกว่าที่ชาวท้องถิ่นจะเข้าถึงได้ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างชุมชน และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาคธุรกิจท่องเที่ยว
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หลายฝ่ายเสนอให้เปลี่ยนแนวทางไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพหรือ “Sustainable Tourism” ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณค่าทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่
• กำหนดเพดานจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเดือน เพื่อไม่ให้เกินขีดความสามารถของพื้นที่
• ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น โฮมสเตย์ ทัวร์เชิงวัฒนธรรม และกิจกรรมธรรมชาติที่มีขนาดเล็กและควบคุมได้
• จัดเก็บภาษีนักท่องเที่ยว และนำเงินมาใช้ในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับนโยบายของเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
• ควบคุมตลาดเช่าระยะสั้น และปรับนโยบายด้านที่อยู่อาศัยให้ชาวท้องถิ่นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
• กระจายรายได้การท่องเที่ยว ไปยังชุมชนโดยตรง เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
การประท้วงของชาวคานารีสะท้อนถึงปัญหาเรื้อรังที่หลายเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังเผชิญ การทบทวนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใหม่ให้สอดคล้องกับความยั่งยืน จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางสังคม