
ในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาเนื้อในสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ระบุว่าราคาเนื้อวัวเพิ่มขึ้นถึง 9% ตั้งแต่ต้นปี และเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื้อสเต็กเพิ่มขึ้น 12% เนื้อบดเพิ่มขึ้น 10% ปัญหานี้เกิดจากการที่จำนวนวัวเนื้อในประเทศลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 แต่ความต้องการบริโภคของชาวอเมริกันกลับไม่ลดลงตาม
สาเหตุสำคัญมาจากภัยแล้งที่ยาวนานในช่วงปี 2020–2023 ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น เกษตรกรจำนวนมากจึงลดขนาดฝูงวัวหรือขายแม่พันธุ์ออกไป แทนที่จะเลี้ยงต่อ นอกจากนี้ยังเกิดการระบาดของแมลงในเม็กซิโก จนสหรัฐต้องหยุดนำเข้าวัวจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปกติแล้วนำเข้ามากกว่าล้านตัวต่อปี ส่งผลให้ปริมาณวัวในประเทศยิ่งตึงตัว
ปกติแล้ว เมื่อสินค้าแพงขึ้น ผู้บริโภคมักลดการซื้อ แต่กับเนื้อวัวกลับไม่ใช่ ชาวอเมริกันมีความต้องการที่ “ไม่ยืดหยุ่น” ต่อเนื้อวัว แม้ราคาแพงก็ยังซื้อกินเหมือนเดิม โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยการย่างเนื้อในเทศกาลและงานเฉลิมฉลอง ผลที่เกิดขึ้นคือ สหรัฐต้องนำเข้าเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะเนื้อบดคุณภาพต่ำซึ่งมักมาจากต่างประเทศ
สรุปข่าว
ราคาเนื้อในสหรัฐพุ่งสูง แต่ผู้บริโภคยังคงกินในปริมาณเดิม ทำให้ต้องนำเข้าเนื้อจากต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่การผลิตเนื้อวัวในหลายประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้โลกร้อนขึ้นรุนแรงกว่าเดิมแทนที่จะลดลง
ในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาเนื้อในสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ระบุว่าราคาเนื้อวัวเพิ่มขึ้นถึง 9% ตั้งแต่ต้นปี และเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื้อสเต็กเพิ่มขึ้น 12% เนื้อบดเพิ่มขึ้น 10% ปัญหานี้เกิดจากการที่จำนวนวัวเนื้อในประเทศลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 แต่ความต้องการบริโภคของชาวอเมริกันกลับไม่ลดลงตาม
สาเหตุสำคัญมาจากภัยแล้งที่ยาวนานในช่วงปี 2020–2023 ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น เกษตรกรจำนวนมากจึงลดขนาดฝูงวัวหรือขายแม่พันธุ์ออกไป แทนที่จะเลี้ยงต่อ นอกจากนี้ยังเกิดการระบาดของแมลงในเม็กซิโก จนสหรัฐต้องหยุดนำเข้าวัวจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปกติแล้วนำเข้ามากกว่าล้านตัวต่อปี ส่งผลให้ปริมาณวัวในประเทศยิ่งตึงตัว
ปกติแล้ว เมื่อสินค้าแพงขึ้น ผู้บริโภคมักลดการซื้อ แต่กับเนื้อวัวกลับไม่ใช่ ชาวอเมริกันมีความต้องการที่ “ไม่ยืดหยุ่น” ต่อเนื้อวัว แม้ราคาแพงก็ยังซื้อกินเหมือนเดิม โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยการย่างเนื้อในเทศกาลและงานเฉลิมฉลอง ผลที่เกิดขึ้นคือ สหรัฐต้องนำเข้าเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะเนื้อบดคุณภาพต่ำซึ่งมักมาจากต่างประเทศ
ปัญหาคือ การผลิตเนื้อวัวในต่างประเทศส่วนใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการผลิตในสหรัฐ สาเหตุหนึ่งคือระบบเลี้ยงที่ใช้เวลาเลี้ยงนานกว่า ทำให้วัวปล่อยมีเทนมากขึ้น และหลายประเทศยังมีปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อสร้างทุ่งเลี้ยงสัตว์ เช่น บราซิลซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของสหรัฐ การนำเข้าเนื้อเหล่านี้จึงแฝงมาด้วย “ต้นทุนคาร์บอน” สูง ทั้งจากการเลี้ยงและการสูญเสียพื้นที่ป่า
แม้การเลี้ยงวัวในสหรัฐก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงอยู่แล้ว แต่การแทนที่เนื้อวัวในประเทศด้วยเนื้อจากต่างประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากกว่า กลับยิ่งทำให้รอยเท้าคาร์บอนของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาวัวที่สูงขึ้นจึงไม่ได้ช่วยลดโลกร้อนอย่างที่บางคนคิด กลับอาจทำให้ปัญหาเลวร้ายกว่าเดิม เพราะความต้องการเนื้อวัวของชาวอเมริกันยังคงแข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลง
ในทางทฤษฎี ราคาที่สูงขึ้นอาจเป็นโอกาสให้ผู้คนลดการบริโภคเนื้อวัวและหันไปเลือกโปรตีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐยังคงกินเนื้อมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสี่เท่า และแนวโน้มในตอนนี้คือยังไม่มีการลดลงอย่างจริงจัง การที่ราคาสูงแต่การบริโภคไม่ลดลง จึงเป็นภาพสะท้อนความท้าทายของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในยุควิกฤตภูมิอากาศ
- โลกร้อนคร่านกเขตร้อน หายไป 38% ใน 70 ปี
- นักวิทยาศาสตร์พบอุกกาบาตที่ตกใส่หลังคาบ้านในสหรัฐฯ มีอายุเก่าแก่กว่าโลก
- มนุษย์ผูกพันกับธรรมชาติ น้อยลง 60% ในรอบ 200 ปี
- หิ่งห้อยเสี่ยงสูญพันธุ์ จากโลกร้อน แสงรบกวน สารเคมี
- โลกแปรปรวนหนัก ไทยร้อนระอุกลางฤดูฝน เตือนฝนถล่มอีกกลางส.ค.–ก.ย
- ทรัมป์สนใจลดระดับกัญชาเป็นยาเสพติดอันตรายน้อย
- โลกร้อนยุงล้น “ชิคุนกุนยา” ระบาดหนัก จีนป่วยแล้ว 8,000 คน
ที่มาข้อมูล : sentientmedia.org
ที่มารูปภาพ : Reuters
